องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 529 ชนะขาดลอย องค์ชายเท่เสียไม่มี
“เรื่อง เรื่องนี้… เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเข้าใจกันผิด” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนตะกุกตะกัก เขาไม่เคยคิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่าจะเป็นนาง ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว แต่ผู้นำทุกคนที่เมืองหลวงต่างก็คิดว่าเวลานี้นางยังคงอยู่ในวัง และกำลังจนปัญญาที่จะคิดแผนการเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง
ไม่มีใครคิดว่านางจะแต่งกายเป็นชาย และผันตัวมาเป็นเพียงแค่จือฝู่ธรรมดาในชนบทอันห่างไกลอย่างเมืองฟู่ผิง
ไม่แปลกใจเลยที่องค์ชายสามจะแสดงละครเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้
ทุกอย่างเป็นเพราะนางทั้งสิ้น!
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ในทันที แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
แต่อีกด้านหนึ่งนั้น คุณชายเลี่ยวกลับยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขากระตุกแขนเสื้อของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนพร้อมกับกระซิบว่า ”ท่านลุงขอรับ ทำไมท่านถึงต้องสุภาพกับเขาถึงเพียงนั้นด้วยเล่า เขาก็เป็นแค่จือฝู่ตัวเล็กๆ เท่านั้น…”
“หุบปาก! ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง หุบปากซะ!” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนตวาดเขาดังลั่นอย่างหมดความอดทน
คุณชายเลี่ยวรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด เพราะไม่เคยถูกใครขึ้นเสียงใส่อย่างเดือดดาลเช่นนี้มาก่อนเลย
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ทันทีที่ดวงตาของเขาสบเข้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เอ่ยกับนางอย่างนอบน้อมว่า ”ยกโทษให้คนแก่เช่นข้าด้วย ข้าตาบอดยิ่งนักถึงได้จำคุณหนูใหญ่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
คุณหนูใหญ่!
หมายถึงเฮ่อเหลียนเวยเวย ทายาทของตระกูลเฮ่อเหลียนที่คนเขาเล่าลือกันหรือ
จากที่เขาได้ยินว่า นางเคยเป็นขยะไร้ค่า ไม่มีใครต้องการ เพราะนางไม่มีพลังปราณอยู่ในตัวแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อครึ่งปีก่อน จู่ๆ นางก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แล้วกลับคืนสู่ตระกูลเฮ่อเหลียน จากนั้นนางก็โค่นผู้เป็นบิดาลงได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียว และขึ้นเป็นประมุขของตระกูลเฮ่อเหลียน อีกทั้งนางยังอภิเษกสมรสกับองค์ชายสามจนได้รับตำแหน่งพระชายามาอีกด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ชนะในชีวิตจริงก็คือนางคนนี้นี่เอง!
มิหนำซ้ำฝีมือในการสร้างอาวุธของนางก็นับว่าเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิเลยทีเดียว
ร้านเวยเจ๋อที่นางเป็นผู้ก่อตั้งมีชื่อเสียงและเป็นที่โด่งดังไปทั่วทั้งจักรวรรดิจ้านหลง…
ขุนนางเหล่านั้นไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ตัวเองขวางทางตอนอยู่หน้าทางเข้าของภัตตาคารไห่ปิน และหัวเราะเยาะใส่นับครั้งไม่ถ้วนนั้นแท้จริงแล้วจะเป็นคนสำคัญถึงเพียงนี้!
เป็นอีกครั้งที่ขุนนางทุกคนสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่กำลังไต่ขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ริมฝีปากของพวกเขาต่างเริ่มซีดเซียว พวกเขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
แม้กระทั่งคนหัวทึบอย่างคุณชายเลี่ยวก็ยังเข้าใจความหมายของคำว่า ’คุณหนูใหญ่’
ต่อให้เขาจะไม่เคยไปที่จวนของตระกูลเฮ่อเหลียน แต่เขาก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลเฮ่อเหลียนดี
เฮ่อเหลียนเวยเวย คุณหนูของตระกูลเฮ่อเหลียนเป็นพระชายาองค์ปัจจุบัน!
แต่เขากลับกล่าวหาว่าพระชายากับหญิงสาวชาวบ้านมีความสัมพันธ์อะไรกันอยู่
ระหว่างหญิงสาวสองคนมันจะไปมีอะไรกันได้อย่างไร
ทันทีที่คุณชายเลี่ยวตระหนักได้ เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังตุ้บ
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปหมายจะจับชายเสื้อคลุมของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”คุณหนูใหญ่ขอรับ ท่านลุงของข้าพูดถูกแล้ว นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้นขอรับ ถ้าข้ารู้ฐานะของท่านตั้งแต่แรก ข้าก็คงไม่…”
“เจ้าก็คงไม่เดินชนข้า แล้วก็ขอให้ข้าขอโทษเจ้าใช่หรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”แล้วก็คงไม่เอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าที่ปรึกษาส่วนตัวของข้ายากจนถึงเพียงใดด้วยใช่ไหม”
หลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวย ใบหน้าของคุณชายเลี่ยวก็ซีดจนกลายเป็นสีขาว มันไม่น่ามองยิ่งนัก
เมื่อเขานึกถึงคำพูดของตัวเองขึ้นมา เขาก็แทบอยากตบหน้าตัวเองยิ่งนัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกล่าวเสริมขึ้นอย่างร้ายกาจว่า ”น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้จนจริงอย่างว่า ข้าเดาว่าคุณชายเลี่ยวคงยังไม่รู้ฐานะของข้า เพราะท่านลุงของเจ้าก็เพิ่งจะได้รู้ในวันนี้นี่เอง แต่เจ้าจะได้ตายสบายแน่ ทหาร พาตัวเขาออกไป!”
คุณชายเลี่ยวตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาพร้อมกับสะอึกสะอื้น สีหน้าหยิ่งผยองที่เขาเคยมีก่อนหน้านี้หายไปจนไม่เหลือ เขาดูน่าสมเพชยิ่งนัก
จากนั้นเขาก็ร้องโหยหวนออกมาราวกับจะขาดใจว่า ”ท่านลุง ช่วยข้าด้วยขอรับ! ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
ขุนนางทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าองค์ชายหมายความว่าอย่างไรตอนที่เขาบอกว่า ’พาตัวเขาออกไป’
โอกาสที่เขาจะรอดนั้นมีเพียงหนึ่งต่อสิบ
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนอยากขอความเมตตาให้กับหลานชาย แต่เขาก็กลัวว่าตัวเองจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดวงตาของเขาเอ่อท้นไปด้วยน้ำตาเพราะเขาทำได้เพียงแค่มองดูคุณชายเลี่ยวถูกลากตัวออกไปโดยไม่อาจช่วยอะไรได้
เขากำหมัดแน่น และเมื่อนึกถึงแผนการที่ผู้อาวุโสอีกสามคนในเมืองหลวงเคยเปรยเอาไว้ขึ้นมาได้ ความอำมหิตก็พลันวาบขึ้นในดวงตาของเขาก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวอวี่ เจ้าไปสบายเสียเถิด
ในฐานะลุงของเจ้า ข้าจะแก้แค้นให้กับเจ้าเอง
เมื่อข้ากลับไปถึงเมืองหลวง ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้มันได้ตายอย่างทรมานแน่นอน!
ในบ่ายวันเดียวกันมีสมาชิกของตระกูลเลี่ยวถูกตัดคอไปถึงสามคน
เลี่ยวจือฝู่เป็นคนสุดท้ายที่ถูกนำตัวเข้ามา เมื่อเขาเห็นสีหน้าเจ็บปวดของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน เขาก็รู้ได้ทันทีว่าจุดจบของเขามาถึงแล้ว
ต่อให้เขาพยายามที่จะเค้นสมองอย่างสุดชีวิตเพื่อหาทางหนี แต่ในความเป็นจริงนั้น องค์ชายสามย่อมไม่เปิดช่องให้ใครได้ต่อรอง
วิธีการของเขาโหดเหี้ยมเกินไป
กระบวนการคิดในแต่ละชั้นของเขานั้นทั้งซับซ้อนละเอียดอ่อนและชัดเจนเป็นอย่างมาก ใครๆ ต่างก็หวาดกลัวเขากันทั้งนั้น
เช่นเดียวกับอสรพิษล่าเหยื่อ เขาจะค่อยๆ ล่อลวงให้เหยื่อเข้ามาติดกับทีละก้าว ก่อนจะกลืนพวกมันลงไปในครั้งเดียว!
หลังการตายของสมาชิกทั้งสามจากตระกูลเลี่ยว ศาลาว่าการก็กลับคืนสู่ความเงียบ และแล้วในที่สุดขุนนางทั้งหมดก็สามารถถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก
ในเมื่อคนพวกนั้นตายหมดแล้ว เช่นนั้นคดีย่อมถูกปิดไปด้วยอย่างแน่นอน
ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีทีเดียว เพราะจะได้ไม่มีใครสืบสวนเรื่องนี้ต่อ
ไม่อย่างนั้น คงมีคนที่นั่งอยู่ที่นี่อีกหลายคนได้เจอชะตากรรมเดียวกันกับพวกเขาแน่ อย่างไรเสียก็มีน้อยคนนักที่จะเป็นคนมือสะอาดอย่างแท้จริง
ขุนนางเหล่านั้นสบตากันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแอบยินดีกับตัวเองอยู่ในใจ เพราะคิดว่าตัวเองรอดพ้นจากหายนะไปได้แล้ว
แต่พวกเขาประเมินองค์ชายสามเอาไว้ต่ำเกินไป
ในเมื่อองค์ชายสามต้องการขุดรากถอนโคนผู้กระทำผิดกลุ่มนี้ให้หมด ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางหยุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งลงบนเก้าอี้ของแม่ทัพเลี่ยวโดยไม่ลังเล พร้อมกับยกขาเรียวคู่นั้นขึ้นไขว่ห้าง จากนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า ”ข้ามีรายชื่อคนจำนวนหนึ่งอยู่ในมือ และข้าคิดว่าทุกคนคงตื่นเต้นเป็นอย่างมากหลังจากได้อ่านมัน”
ใครบางคนต้องการถือโอกาสนี้ประจบองค์ชายสาม เขาจึงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า ”สิ่งที่องค์ชายพระราชทานให้ย่อมต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“มันเป็นของขวัญที่ไม่ธรรมดาอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดพลางยกยิ้มอย่างชั่วร้าย
แต่เมื่อรายชื่อนั้นถูกวางลงตรงหน้าพวกเขา ขุนนางของเมืองหลวงประจำมณฑลเหล่านั้นก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
เข่าของพวกเขาหมดเรี่ยวแรงเพราะความกลัว จากนั้นพวกเขาก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างรวดเร็ว และร้องขอความเมตตาอย่างน่าสังเวชโดยไม่คิดที่จะสนใจภาพลักษณ์ของตัวเองแม้แต่นิดเดียว ”องค์ชาย นี่เป็นการปรักปรำกันอย่างไร้หลักฐานพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมล้วนแต่เป็นผู้บริสุทธิ์พ่ะย่ะค่ะ! องค์ชาย มันเป็นเพียงแค่อุบายตบตาที่เลี่ยวฉิงเทียนทำขึ้นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“ปรักปรำอย่างไร้หลักฐานหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่เสียงนั้นก็เย็นชาและดูคุกคามไม่ต่างจากเจ้าของเสียง จากนั้นเขาจึงคำรามว่า ”พวกเจ้าทุกคนรู้อยู่แก่ใจในสิ่งที่พวกเจ้าทำตอนอยู่นอกภัตตาคารไห่ปินในวันที่เลี่ยวจือฝู่ถูกปล่อยตัวออกมา เงาทมิฬ ให้พวกเขาลืมตาดูจำนวนเงินที่เขียนไว้ในรายการนั้นให้ดี ถามพวกเขาว่าเงินจำนวนนั้นหายไปไหน คนที่ตอบได้ให้ไว้ชีวิต คนที่ตอบไม่ได้ให้ฆ่าทิ้งซะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
เมื่อขุนนางเหล่านั้นได้ยินคำว่า ’ฆ่า’ พวกเขาก็ตัวสั่นด้วยความหวาดผวา
หนึ่งในนั้นควบคุมตัวเองไม่ไหวจึงตะโกนขึ้นว่า ”องค์ชาย กระหม่อมยอมรับสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสารภาพทุกอย่าง! เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ยอมรับเงินนั้น แต่กระหม่อมไม่มีทางเลือกพ่ะย่ะค่ะ ขุนนางในชนบทอย่างพวกกระหม่อมนั้นสุดแสนจะลำบาก พวกกระหม่อมต้องมอบเงินให้กับเบื้องบนทุกปี แต่ลำพังแล้วเงินเดือนที่ทางราชสำนักจัดสรรมาให้นั้นย่อมไม่เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งกว่านั้นตระกูลเลี่ยวก็ยังเป็นตระกูลที่มีอำนาจที่สุดในเมืองหลวงประจำมณฑล ดังนั้นพวกกระหม่อมจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องอยู่ข้างเดียวกับพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าตระกูลเลี่ยวเป็นเจ้าของกิจการภัตตาคารไห่ปิน แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังและคอยชักใยเรื่องทั้งหมดที่แท้จริงนั้นคือผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือของท่านพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น!
เคร้ง...