องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 539 จัดการกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
“เจ้าคิดว่าบรรดาผู้ดูแลร้านเวยเจ๋อของข้าเป็นเพียงแค่ของตกแต่งหรือ เหตุผลที่ข้ารับพวกเขาเข้าทำงานก็เพราะจะได้เอาพวกเขามาแทนพวกเจ้าสักวันอย่างไรล่ะ!” เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาของนางราวกับมีสายธารแห่งดวงดาวไหลอยู่ภายใน ประกายระยิบระยับของมันช่างดึงดูดสายตายิ่งนัก ”คนมักพูดกันว่าเราไม่ควรไล่ผู้นำในตระกูลออกโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะการจะหาคนที่มีความสามารถในการดูแลทรัพย์สินนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้นำซุน เจ้าคิดว่าพวกผู้ดูแลที่สามารถดูแลร้านเวยเจ๋อให้ข้า และสามารถเปิดร้านเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้ข้าได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจะมีความสามารถน้อยกว่าคนขี้ขลาดดีแต่พูดอย่างพวกเจ้าหรือ”
“แทนที่หรือ แทนที่พวกข้าหรือ ฮ่าๆๆๆ! คนที่แพ้คือพวกข้าสินะ อา พวกข้าแพ้แล้ว…”
หลังจากหัวเราะออกมาเสียงดัง ผู้นำซุนก็เอาแต่พร่ำพูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า ”พวกข้าแพ้แล้ว”
ทันทีที่เห็นเขาในสภาพนี้ ผู้นำอีกห้าคนก็ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยไม่แพ้กัน พวกเขาก้มลงมองพื้นเล็กน้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไม่เหลือท่าทางยโสโอหังและอวดดีอย่างที่ตัวเองเคยมีเมื่อครู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ตั้งแต่ฮองเฮามาจนถึงผู้นำพวกนี้ นางยังคงยืนหยัดต่อสู้กับพวกเขาอย่างมั่นคง พร้อมกับค่อยๆ เดินหน้าต่อไปทีละขั้นตอน
หลายคนคิดว่านางเปิดร้านเวยเจ๋อก็เพื่อหาเงิน
แต่ความจริงแล้วนางกลับคิดหาคนที่จะมาแทนพวกเขาในอนาคตต่างหาก!
นี่เป็นเกมที่ได้รับการวางแผนมาอย่างแยบยล
หากนางใช้แผนการนี้ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเสนาบดีมีตำแหน่งใหญ่โตก็คงยากจะเอาชนะได้แม้จะวางแผนมาอย่างระมัดระวังแล้วก็ตาม
แต่นาง เด็กสาวไร้ค่าที่ถูกพวกเขาทอดทิ้งมาเป็นเวลานานกลับสามารถพลิกฟ้าดินได้ด้วยกำลังของตัวเอง และทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง!
พวกเขาแพ้แล้วจริงๆ…
เวลาพลบค่ำ ตะวันตกดินไปแล้ว
ผู้นำทุกคนในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ถูกกำจัดและไล่ออกจนหมด ตำแหน่งของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยคนของเฮ่อเหลียนเวยเวยภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป
นางยืนอยู่คนเดียวกลางห้องโถง ชุดสีขาวและแขนเสื้อยาวของนางลอยอยู่ในสายลม
“นายน้อย”
ต้าสงคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกมุมปากขึ้น ”เจ็ดปี เจ็ดปีเต็มเชียวนะ ที่ข้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้เข้ามายืนในโถงกลางนี่ด้วยซ้ำ”
“นายน้อย…” ต้าสงอ้าปากราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่างออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น เครื่องหน้าของนางงดงามราวกับออกมาจากภาพวาด ”จากนี้ไป ตระกูลเฮ่อเหลียน คืน! สู่! เจ้าของ! แล้ว”
“ใช่ขอรับ!”
“ใช่ขอรับ!”
“ใช่ขอรับ!”
เสียงนั้นดังขึ้นต่อกันสามครั้ง เสียงแรกเป็นเสียงของบรรดาผู้ดูแลจากร้านค้าทั่วภูมิภาค เสียงถัดจากนั้นคือเสียงขององครักษ์ในคฤหาสน์ และเสียงสุดท้ายคือเสียงจากกองกำลังลับนับพันนายที่นำโดยชื่อเหยียน
พื้นที่ว่างในคฤหาสน์ถูกเติมเต็มด้วยกองกำลังมากมายที่กำลังก้มหัวให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงคนเดียว!
ภาพนี้ทำให้นึกถึงสมัยก่อนตอนที่นายท่านอาวุโสเฮ่อเหลียนยังมีชีวิตอยู่
แน่นอนว่าภายในเมืองหลวงย่อมมีเสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนกล่าวว่าตระกูลเฮ่อเหลียนกำลังจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ อัครเสนาบดีซูที่กำลังป่วยหนักอยู่ก็ถึงกับกระอักเลือดออกมา
ก่อนยามค่ำคืนจะมาเยือน เขาก็ได้รับข้อความจากเฮ่อเหลียนเวยเวย
อัครเสนาบดีซูหรี่ตา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา ”ข้าจะไม่ไปพบนาง”
“อัครเสนาบดีซูไม่อยากพบข้า หรือไม่กล้าที่จะพบข้ากันแน่” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินสบายๆ เข้ามาในจวนของเขา องครักษ์ที่ทำหน้าที่ปกป้องจวนล้วนแต่ถูกองค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่เดินตามหลังนางมาจัดการจนไม่เหลือ
อัครเสนาบดีซูมองนางแล้วไอออกมาสองสามครั้ง พร้อมกับยิ้มให้นางอย่างเสแสร้ง ”เหตุใดพระชายาจึงพูดเช่นนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมล้มป่วยมาได้หลายวันแล้ว จึงไม่สามารถไปปรากฏตัวในการประชุมราชสำนัก หรือรับรองแขกสำคัญคนใดได้ต่างหากล่ะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันดี ที่กระหม่อมไม่สามารถไปพบกับพระชายาได้ก็เพราะเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าซูช่างมีมารยาทจริงๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ข้ารู้มาว่าใต้เท้าซูเพิ่งจะจัดการเฮ่อเหลียนกวงเย่าไปเมื่อวานนี้นี่เอง และตอนนี้ท่านกำลังวางแผนที่จะนำกำลังทหารกลับคืนมาสู่ตระกูลซู แต่แล้วท่านก็ตระหนักได้ว่าแม้เฮ่อเหลียนกวงเย่าจะไม่อยู่แล้ว แต่การรวบรวมกำลังทหารกลับมาก็ช่างเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ใต้เท้าซูอยากรู้หรือไม่ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้”
ทันทีที่อัครเสนาบดีซูได้ยินชื่อเฮ่อเหลียนกวงเย่า เขาก็โมโหจนมือที่กุมแขนเสื้ออยู่เริ่มสั่น
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ ”นั่นเป็นเพราะว่ากองกำลังที่ใต้เท้าซูส่งออกไปก่อนหน้านี้ตกมาอยู่ในมือข้าแล้วอย่างไรล่ะ ข้าคงไม่จำเป็นต้องสอนใต้เท้าซูกระมังว่าเมื่อนกนางนวลกับหอยกาบสู้กันเอง สุดท้ายแล้วคนที่ได้ผลประโยชน์ก็คือชาวประมง”
“เจ้า!” อัครเสนาบดีซูยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าอก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงจัดเสื้อคลุมของตัวเองให้เรียบร้อย ”ไม่ว่าจะเป็นการตีสนิทเฮ่อเหลียนกวงเย่า หรือจะเป็นการพรากลูกสาวสุดที่รักของท่านไป ทุกอย่างล้วนแต่เป็นผลงานของข้า ข้าทำทั้งหมดนั้นลงไปเพียงเพราะต้องการให้อัครเสนาบดีซูได้ลิ้มรสความรู้สึกของการถูกลูกเขยแย่งบ้านของตัวเองไป!”
“เจ้า เจ้า…” อัครเสนาบดีซูงอตัวด้วยความทรมานอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ”นี่ก็เริ่มดึกแล้ว อัครเสนาบดีซูพักผ่อนให้สบายเถอะ ดูจากสุขภาพของท่านแล้ว ท่านคงเหลือเวลาอยู่อีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ข้าเพียงแค่สงสัยก็เลยมาถามเท่านั้นว่าท่านรู้สึกดีหรือไม่ที่ถูกตบหน้าเข้าอย่างจังเช่นนี้”
“เจ้า อั้ก!” อัครเสนาบดีซูทนไม่ไหวอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงกะทันหันในลำคอของเขาทำให้เขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเช็ดเลือดที่กระเด็นมาเปื้อนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว ”ข้าลืมไปได้อย่างไรกันว่าไม่ควรทำให้ใต้เท้าซูโมโหเพราะกำลังป่วยหนักอยู่”
“เฮ่อเหลียนเวยเวย!” อัครเสนาบดีซูคำรามสุดเสียง ”เจ้าคิดว่าทันทีที่ข้าตาย แล้วการแก้แค้นของเจ้าจะสำเร็จหรือ ฮ่าๆๆ ยังอ่อนหัดนัก! เจ้าคิดว่าข้ากับฮองเฮาแข็งแกร่งพอที่จะโค่นนายท่านอาวุโสเฮ่อเหลียนที่เป็นถึงขุนนางมากด้วยวรยุทธ์และมีผลงานทางการทหารโดดเด่นลงได้หรือ หากไม่มีอำนาจอันแข็งแกร่งคอยสนับสนุนพวกเราละก็ ใครที่ไหนจะไปแตะต้องเขาได้! คนพวกนั้นคือคนที่เจ้าไม่มีวันแก้แค้นได้สำเร็จแม้จะได้ตระกูลเฮ่อเหลียนกลับไปไว้ในมือแล้วก็ตาม! พวกเขาต้องการฆ่านายท่านอาวุโสเฮ่อเหลียน และนายท่านอาวุโสเฮ่อเหลียนก็ตายตามที่พวกเขาต้องการ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไม เพราะเขามีผลงานทางการทหารโดดเด่นเกินไปอย่างไรล่ะ แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังไม่อยากเห็นตระกูลเฮ่อเหลียนเจริญรุ่งเรือง! ฮ่าๆๆๆ!”
อัครเสนาบดีซูหัวเราะอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่พร้อมกับไอออกมา ใบหน้าซีดเซียวของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าพออกพอใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยโน้มตัวเข้าไปหาเขา ”มันก็แค่ผู้อาวุโสทั้งสามกับฮ่องเต้โง่ๆ ไม่ใช่หรือ ข้ามีแผนการจัดการกับพวกเขาอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับข้าที่สุดก็คือการได้เห็นตระกูลของอัครเสนาบดีซูถูกทำลายและนอนกระจัดกระจายอยู่ที่นี่เหมือนกับไข่เน่าๆ จุดประสงค์ของข้าคือสิ่งนั้นต่างหาก”
“เจ้า แค่ก แค่ก...อั้ก!”
อัครเสนาบดีเสนาบดีซูกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาแทบถลนออกจากเบ้า จากนั้นเขาก็เริ่มหายใจไม่ทัน
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยออกมาจากจวนตระกูลซู นางก็ได้ยินเสียงระฆังมรณะดังขึ้น
สำหรับนาง มันหมายความว่านางกำลังเข้าใกล้จุดหมายของตัวเองมากขึ้นอีกหนึ่งก้าว…
เวลากลางดึก ณ ห้องทรงอักษรทางทิศใต้ที่อยู่ลึกเข้าไปในวังหลวง
ใต้ม่านหลายชั้นนั้น ฮ่องเต้นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันสีขาว พร้อมกับใช้โอสถเพื่อยืดอายุขัยให้กับตัวเอง ดูเหมือนความหมกมุ่นของเขาจะกำลังยกระดับขึ้นเรื่อยๆ!
ผู้อาวุโสทั้งสามนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา พวกเขาเอ่ยเสียงเบาว่า ”ฝ่าบาท เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ต้องถูกจัดการนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“นางก็ดูเข้าท่าทีเดียวมิใช่หรือ” ฮ่องเต้หัวเราะ พร้อมกับมองยาอายุวัฒนะในมือราวกับเสียสติ ”ทำไมต้องจัดการนางด้วยล่ะ”
ผู้อาวุโสทั้งสามมองสภาพเขาในเวลานี้ แล้วจึงตอบเสียงเบาว่า ”สาเหตุที่เราต้องจัดการนางนั้นไม่ได้มาจากการกระทำของนางในระยะนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นเพราะเรื่องที่นางถูกสิงซึ่งเคยสร้างปัญหาให้กับพวกเรามามากมายต่างหาก เสนาบดีอาวุโสหลายคนสงสัยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ถูกสิงอยู่จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ! นางทำอะไรไม่เหมือนตัวนางในสมัยก่อน อีกทั้งเครื่องปั๊มน้ำที่นางประดิษฐ์ขึ้นที่เมืองฟู่ผิงก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน คนคนนี้จะต้องถูกสิงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทยังจำได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้น่าหวาดกลัวเพียงใด ครั้งหนึ่งผู้บวงสรวงเคยกล่าวเอาไว้ว่า หากมีคนถูกวิญญาณร้ายสิงปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายความว่ามีปีศาจอยู่เบื้องหลัง แล้วเมื่อถึงเวลานั้นบัลลังก์ของฝ่าบาทอาจจะสั่นคลอนได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”