องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 543 เวยเวยเป็นคนรุก
มันรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่กลอุบายแกล้งให้ตัวเองเจ็บตัวเพื่อเรียกความสงสารจากเฮ่อเหลียนเวยเวย!
แต่มันไม่รู้ว่าหลังจากนี้นายท่านกำลังวางแผนอะไรอยู่…
“เจ้ายังไม่รีบไปอีกหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตามองกิเลนอัคคี น้ำเสียงของเขายังคงสุขุมเยือกเย็น ”อยากให้ข้าจับเจ้าขังอีกรึ”
ขนสีแดงทั่วร่างของกิเลนอัคคีสั่น มันไม่กล้าอยู่ต่อ มันรีบหันหลังแล้วออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงกางกรงเล็บแล้วเช็ดเหงื่อเย็นๆ ของตัวเอง
นายท่านโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
เขาวางแผนที่จะจับมันขังอีกแล้ว!
มันไม่อยากเข้าไปนั่งสำนึกผิดอยู่ใน ’หลุมดำขนาดเล็ก’ อีก ชีวิตที่ขาดการวิ่งไล่จับผีเสื้อก็เหมือนกับการถูกทรมานดีๆ นี่เอง!
ยิ่งกว่านั้น มันก็เป็นที่รักของสัตว์ตัวอื่นๆ มากมาย ดังนั้นมันจะถูกขังไม่ได้!
“ลูกพี่นี่นา!”
“ลูกพี่ของพวกเราช่างหล่อเหลายิ่งนัก!”
“จะว่าหล่อก็หล่อ แต่ทำไมสีหน้าของลูกพี่ถึงได้ดูย่ำแย่ถึงเพียงนี้เล่า”
บรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่นอกวังหลวงพร้อมใจกันมองไปที่กิเลนอัคคี ดวงตาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาของพวกมันเป็นประกายทันทีที่เห็นกิเลนอัคคี!
กิเลนอัคคียืนหลังตรง พลางเชิดหน้าและกลับมายืดอกด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยเช่นเดิม
“ลูกพี่ช่างทรงเสน่ห์ยิ่งนัก!”
“ลูกพี่จะเข้าไปข้างในแล้ว!”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เมื่อครู่นี้ลูกพี่ก็เพิ่งออกมาจากที่นั่นเองมิใช่หรือ”
“ลูกพี่อาจจะออกมาเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ และอยากมาดูให้แน่ใจว่าพวกเราไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายก็ได้ พอเขามั่นใจแล้วว่าพวกเราปลอดภัย เขาก็เลยคิดจะกลับเข้าไปข้างในอย่างไรล่ะ”
กิเลนอัคคี : …มันบอกตอนไหนกันว่ามันอยากกลับเข้าไปในนั้น มันไม่กล้าแม้แต่จะย่างเท้ากลับเข้าไปอยู่ในสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นด้วยซ้ำ!
“ลูกพี่!” สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยวิ่งเข้ามาหากิเลนอัคคี แล้วถามด้วยความขัดเขินว่า ”ถ้าท่านจะกลับเข้าไปในนั้น พวกข้าขอตามท่านไปด้วยได้หรือไม่ พวกข้าอยากเห็นว่าด้านในของอาคารหลังมหึมานั่นจะยิ่งใหญ่เพียงใด”
“ข้า…” กิเลนอัคคีเพิ่งจะอ้าปาก
สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยอีกตัวตัดบทก่อนที่มันจะทันได้ตอบว่า ”ลูกพี่ของพวกข้าหล่อเหลายิ่งนัก! เขาจะต้องตอบรับคำขอของพวกเราอย่างแน่นอน!”
“จริงหรือ” สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยที่หมอบอยู่ตรงหน้ากิเลนอัคคีช้อนตาขึ้น ดวงตาของมันเป็นประกายระยิบระยับ ”เช่นนั้น ลูกพี่ พวกเราเข้าไปในอาคารหลังนั้นกันเลยดีกว่า!”
กิเลนอัคคี : …
เรื่องมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร!
มันยังไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่พวกมันกลับคิดเองเออเองว่ากิเลนอัคคีตกปากรับคำโดยไม่ถามความสมัครใจของมันด้วยซ้ำ
อะแฮ่มๆ! กิเลนอัคคีกระแอมขึ้นสองครั้งราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ”เมื่อครู่นี้พวกเจ้าบอกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย พวกเจ้ากำลังเผชิญกับอันตรายอันใดอยู่หรือ”
สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยสบตากัน แล้วจากนั้นจึงมองไปทางซ้ายทีขวาทีก่อนจะตอบว่า ”พักนี้มีบางอย่างปรากฏตัวขึ้นในวังหลวง มันน่ากลัวมากเลยขอรับ”
“มันคืออะไรรึ” กิเลนอัคคีถามพร้อมกับหรี่ตาลงทันที!
สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยทั้งสองส่ายหน้า แล้วตอบว่า ”พวกข้าก็ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรขอรับ ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้น พวกข้าก็ทำได้เพียงแค่รีบหาที่ซ่อนตัวเท่านั้น”
“ทำไมข้าจึงสัมผัสถึงมันไม่ได้ล่ะ” กิเลนอัคคีเหลือบมองกรงเล็บของตัวเอง หากมันเป็นสัตว์อสูรประเภทใดประเภทหนึ่งละก็ ไม่มีทางที่มันจะไม่ได้กลิ่นของพวกมัน
สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยๆ พวกนั้นลดเสียงลง ”เจ้าสิ่งนั้นมันสามารถปกปิดร่องรอยของตัวเองได้ขอรับ มิหนำซ้ำยังมีมนุษย์จำนวนหนึ่งช่วยให้การคุ้มครองมันอยู่ด้วย ในช่วงที่ท่านหายไปจากวังหลวง มันก่อปราณแห่งความเคียดแค้นเอาไว้เป็นจำนวนมากทีเดียวขอรับ…”
“ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน” กิเลนอัคคีหรี่ตาลงเรื่อยๆ
สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยส่ายหน้าอีกครั้ง และพูดว่า ”พวกข้าไม่รู้ขอรับ พวกข้าไม่เคยเผชิญหน้ากับมันตรงๆ สัตว์อสูรพสุธาตัวเล็กตัวใดที่ได้พบมันก็ล้วนแต่ถูกมันจับกินหมดเลยขอรับ!”
ขณะเล่าเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟัง สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยทั้งสองก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ร่างเล็กๆ ของพวกมันสั่นไปทั้งตัว
“แต่พวกข้าพอจะรู้คร่าวๆ ว่ามันอยู่ที่ไหน พวกข้าไม่กล้าเสี่ยงเดินเข้าไปที่นั่นเลยขอรับ” สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยตอบพลางหันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วพูดขึ้นว่า ”ที่นั่นขอรับ!”
“ตำหนักเจาหยางหรือ” กิเลนอัคคีเอ่ยพร้อมกับกางกรงเล็บ และขมวดคิ้วเข้าหากัน นั่นคือที่ที่ฮ่องเต้ประทับอยู่มิใช่หรือ
ในขณะที่กิเลนอัคคีกำลังจ้องมองไปยังสถานที่แห่งนั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากทางด้านหลังของมัน!
สัตว์อสูรพสุธาตัวน้อยเหล่านั้นหวาดกลัวสุดขีด พวกมันกอดกันกลมพร้อมกับร้องออกมาว่า ”ลูกพี่ ลูกพี่ ลูกพี่ขอรับ…”
กิเลนอัคคีสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่อยู่ข้างหลัง มันกำลังจะใช้กรงเล็บของตัวเองจัดการกับสิ่งนั้น แต่แล้วคอของมันก็ถูกใครคนหนึ่งคว้าเข้าเสียก่อน
“วันนี้พี่สามไม่อยู่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะต้องจับเจ้ากินให้จงได้เชียว!”
เมื่อกิเลนอัคคีได้ยินเสียงนั้น มันก็รู้ได้ทันทีว่าร่างปริศนานั้นคือใคร ดังนั้นมันจึงร้องออกมาว่า ”องค์ชายเจ็ด”
“เนื้อกิเลนคงอร่อยไม่ใช่เล่น” เด็กชายตัวน้อยว่าอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับใช้นิ้วจี้เข้าที่ศีรษะของมันด้วยสีหน้าจริงจัง
ตอนนั้นเองที่กิเลนอัคคีเพิ่งตระหนักได้ว่ามันพรางตัวอยู่ หากว่ากันตามหลักแล้วย่อมไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาคนใดจะสามารถมองเห็นมันได้ นอกจากเจ้านายของมันคนเดียว!
องค์ชายเจ็ดมองเห็นมันได้อย่างไร
กิเลนอัคคีเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นร่างเล็กอันคุ้นตามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ มันค่อยๆ หรี่ตาลงทีละน้อย
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่สนใจว่ากิเลนอัคคีคิดอะไรอยู่ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องจับกิเลนอัคคีย่างในระหว่างที่พี่สามไม่อยู่!
เด็กชายตัวน้อยก้มหน้าลงแล้วมองไปรอบๆ แล้วคว้าหางของกิเลนอัคคีเอาไว้ ก่อนลากมันออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจว่าการลากกิเลนอัคคีจะทำให้พืชที่อยู่รอบๆ ถูกทำลายไปมากเพียงใด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่มีวันล้มเลิกความคิดที่จะกินกิเลนอัคคีตัวนี้เด็ดขาด!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ในห้องมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกได้อย่างชัดเจนผ่านทางหน้าต่าง ริมฝีปากบางของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันยิ่งนัก ในที่สุดเขาก็สามารถกำจัด ’ก้างขวางคอ’ ทั้งสองนั้นไปได้เสียที
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังรู้สึกห่วงเขาอยู่ ”ท่านเริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อาการอะไรหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยละสายตากลับมามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไร้เรี่ยวแรง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นริมฝีปากติดจะซีดเล็กน้อยของเขา นางจึงถามต่อว่า ”การที่ท่านสูญเสียพลังปราณไปบ่อยครั้งเช่นนี้มีสาเหตุมาจากเหตุเพลิงไหม้ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือ”
“อาจจะเป็นเช่นนั้น” มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทิ้งลงอย่างหมดแรง เขาดูไม่ได้สนใจกับคำถามของเฮ่อเหลียนเวยเวยมากนัก แล้วจากนั้นเขาจึงถามนางว่า ”เจ้าก็รู้เรื่องเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเหมือนกันหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบ พร้อมกับอธิบายเสริมว่า ”ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น จากที่ข้าได้ยินว่า พวกเขาบอกว่าเพลิงไหม้ในครั้งนั้นรุนแรงใช่เล่น มันเผาวังจนวอดวายไปทั้งหลัง หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นท่านก็ป่วยหนัก และสูญเสียพลังปราณไปจนหมดสิ้น”
“ป่วยหนักหรือ” เสียงหัวเราะเบาๆ ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”ข้าพูดผิดหรือ”
“เปล่าเลย เจ้าพูดถูกแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของเขาหม่นแสงลง เรื่องบางเรื่องนางก็ไม่สมควรที่จะได้รู้ และจะไม่มีวันได้รู้เด็ดขาด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาขึ้นมองเขา ”ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำให้คนที่ทำร้ายท่านได้ตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอน พวกเขาเป็นคนที่ทำให้ท่านมีอาการเช่นนี้ ข้าจะให้พวกมันหลั่งเลือดเพื่อสังเวยให้กับท่านเอง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองใบหน้าเคร่งเครียดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาพลิกตัวแล้วทับร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยจนจมหายลงไปกับผ้าห่มสีแดง เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับค่อยๆ หลับตาลงทีละน้อย ”ตอนนี้ข้าไม่มีพลังปราณแล้ว การเสพสังวาสย่อมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุดในการฟื้นฟูพลังปราณ แต่ตาข้ายังมองเห็นไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นเจ้าคงต้องเป็นคนเริ่มพิธีเสพสังวาสด้วยตัวเอง”
“เขาพูดถูก!” หยวนหมิงปรากฏตัวขึ้นด้วยความตื่นเต้น และพูดต่อว่า ”แม่นาง รีบเสพสังวาสกับเขาเร็วเข้า! ทั้งเจ้าและเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์จากการเสพสังวาสด้วยกันทั้งนั้น เขาจะได้ฟื้นฟูพลังปราณของตัวเอง ส่วนเจ้าก็จะได้…”
ก่อนที่หยวนหมิงจะทันได้พูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ปิดมิติสวรรค์ด้วยการกะพริบตาอย่างรวดเร็ว สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาที่สามารถล่อลวงหญิงสาวได้อย่างง่ายดาย นางได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดเสียงลง น้ำเสียงติดจะแหบพร่าเล็กน้อยนั้นเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า ”ถ้าเจ้าไม่อยากทำ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า…”
“ใครบอกว่าข้าไม่อยากทำ ข้าก็แค่ต้องเป็นคนรุกเองใช่หรือไม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ การเสพสังวาสครั้งนี้จึงเกิดขึ้นโดยมีเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนรุก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัวเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว แล้วพรมจูบลงบนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นจึงไล่ลงมาที่ริมฝีปาก จนกระทั่งมาถึงสันกรามได้รูปนั้น…