องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 556 ผู้อาวุโสอู่ขอขมา
“เวลาผ่านมานานเพียงใดแล้ว” ผู้อาวุโสอู่ดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัดขณะหันหน้าไปถามขันทีที่คอยติดตามรับใช้เขา เหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กไปทั่วหน้าผาก
“ท่านผู้อาวุโส จวนจะถึงครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
ทันทีที่ถึงครึ่งชั่วยาม พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นย่อมหยุดสวดมนต์ในที่สุด
เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าเฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่สะทกสะท้านอยู่เช่นนี้ เขาจะต้อง…
ไม่ได้การ!
เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!
ตอนนั้นเองที่ขันทีที่ยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสอู่เอ่ยเตือนขึ้นมาว่า ”ท่านผู้อาวุโส ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วขอรับ”
ผู้อาวุโสอู่หันขวับแล้วตวัดสายตามองเขาอย่างดุร้าย ”ข้าย่อมรู้ดีว่ามันถึงเวลาแล้วหรือยัง!”
ขันทีไม่รู้ว่าทำไมผู้อาวุโสอู่ถึงหัวเสีย แต่เขาก็ตกใจจนปิดปากเงียบในทันที
ผู้อาวุโสอู่จ้องแผ่นหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวยเขม็ง
มันเป็นไปไม่ได้!
ต้องมีอะไรผิดพลาดที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน!
“ผู้อาวุโสอู่ดูผิดหวังยิ่งนักที่ข้าไม่เป็นอะไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้เขาเล็กน้อย มุมปากของนางโค้งขึ้นราวกับเป็นการตบหน้าผู้อาวุโสอู่
เขากำหมัดแน่น แล้วกัดฟันออกคำสั่งว่า ”สวดใหม่อีกครั้ง!”
แน่นอนว่าพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นย่อมเชื่อฟังเขา แต่พวกเขาจำเป็นต้องหยุดพักเล็กน้อยก่อนที่จะทำการสวดต่อได้
เสียงสวดมนต์ที่เงียบไปส่งผลให้เสียงของเขาดังมากพอที่จะทำให้ทุกคนหันมามอง
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของนางวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ผู้อาวุโสอู่ ได้เวลาแล้ว เวลานี้พระอาจารย์ชื่อดังทั้งหลายน่าจะปัดเป่าโชคร้ายเสร็จแล้ว แต่ผู้อาวุโสอู่กลับขอให้พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นสวดมนต์ต่อ ผู้อาวุโสอู่มั่นใจหรือว่าจุดประสงค์ของการสวดมนต์ภาวนาในครั้งนี้มาจากสาเหตุนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะว่าท่านไม่พอใจในตัวข้า และพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีข้าหรอกหรือ”
“พระชายาพูดถูกแล้ว” หนานกงเลี่ยเดินเข้ามาจากด้านนอก ”คงยากที่พวกข้าจะไม่สงสัยเคลือบแคลงในจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ผู้อาวุโสอู่มี เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการปัดเป่าวิญญาณร้ายในวังหลวง แต่ผู้อาวุโสอู่กลับไม่ได้แจ้งให้พวกข้าตระกูลผู้บวงสรวงทราบ ซ้ำยังนิมนต์พระอาจารย์เหล่านี้เข้ามาอีก ผู้อาวุโสอู่ ทำเช่นนี้นับว่าผิดกฏ”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาก็ยักคิ้วแล้วส่งสายตาให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย สายตานั้นสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่า เห็นไหมล่ะ ข้าทำตามที่เจ้าสั่ง และเข้ามาได้จังหวะพอดีเลยมิใช่หรือ
สีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าด้านข้างของเขายังคงราบเรียบ ดวงตาของเขายังคงเผยความเย็นชาออกมาอย่างรุนแรง
เขามองหนานกงเลี่ยกลับไป แต่สีหน้านั้นกลับดูชั่วร้ายยิ่งกว่าหนานกงเลี่ยเสียอีก หากให้ใครสักคนแทนมันด้วยคำพูดละก็
มันก็คงแทนได้เพียงแค่หกคำเท่านั้น
เล่นมันให้ตายไปซะ!
หนานกงเลี่ยสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเผลอกลืนน้ำลายและได้แต่สงสัยกับตัวเองว่าผู้อาวุโสอู่ต้องทำให้อาเจวี๋ยไม่พอใจถึงขนาดไหนกัน
ถึงทำให้เขาออกคำสั่งเช่นนั้นออกมา…
ผู้อาวุโสอู่ยังไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ในเวลานี้ แต่เขาก็รู้ว่าการนิมนต์พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านี้เข้ามาในวังหลวงนั้นถือเป็นการเสียมารยาทต่อตระกูลผู้บวงสรวง แต่วิธีนี้ย่อมไม่มีปัญหาหากเฮ่อเหลียนเวยเวยเผยร่างที่แท้จริงของตัวเองออกมาภายใต้ความกดดันอันเกิดจากบทสวดนั้น
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย!
“ฝ่าบาท” หนานกงเลี่ยยังคงมีท่าทางของคุณชายจากตระกูลขุนนางผู้ไม่เกรงกลัวผู้ใดเหมือนอย่างเคย ”หากฝ่าบาทคิดว่าตระกูลผู้บวงสรวงของกระหม่อมไม่สามารถปกป้องความสงบสุขของวังหลวงได้ เช่นนั้นฝ่าบาทก็สามารถเนรเทศพวกกระหม่อมตระกูลหนานกงออกจากเมืองหลวงได้เลยพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทเป็นผู้รับสั่งด้วยตัวเอง อาเลี่ยย่อมทำตาม ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเรียกให้พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านี้มาทำให้ตระกูลบวงสรวงของพวกกระหม่อมต้องอับอายเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ตระกูลผู้บวงสรวงมีอิทธิพล และมีความสำคัญอย่างมากในแผ่นดินนี้
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของหนานกงเลี่ย เขาก็ไม่สามารถนิ่งเงียบได้อีกต่อไป เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ชายหนุ่มอยู่ต่อ ”อาเลี่ย เจ้าก็คิดมากเกินไป ข้ายอมรับข้อเสนอของเหล่าอู่เพราะข้าไม่อยากรบกวนคนจากตระกูลบวงสรวงไปมากกว่านี้เพราะพวกเจ้าง่วนอยู่กับการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นต่างหาก อีกอย่างหนึ่ง เหล่าอู่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เขาเพียงแค่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวังหลวง และต้องการที่จะช่วยข้าแก้ปัญหาเท่านั้น”
“หากเป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสอู่เจออะไรบ้างหรือไม่” หนานกงเลี่ยยืนอยู่ข้างๆ กลิ่นอายอันชั่วร้ายลอยอยู่รอบตัวเขา
ผู้อาวุโสอู่ไม่ตอบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น แล้วปัดฝุ่นออกจากตัว ”ผู้อาวุโสอู่ไม่ได้ทำการสืบสวนอันใดทั้งสิ้น เขาง่วนอยู่กับการหาเรื่องข้าและกล่าวหาว่าข้าถูกวิญญาณร้ายสิง มิหนำซ้ำยังสั่งให้พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นสวดคาถาเรียกวิญญาณครั้งแล้วครั้งเล่าอีกด้วย”
“คาถาเรียกวิญญาณหรือ” หนานกงเลี่ยขมวดคิ้วแล้วหันไปทางผู้อาวุโสอู่ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ”ผู้อาวุโสอู่ ข้าอาจไม่ได้รอบรู้มากนัก แต่อย่าได้โกหกข้าเลย ข้าคลุกคลีอยู่กับการทำพิธีบวงสรวงมานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่าคาถาเรียกวิญญาณสามารถปัดเป่าโชคร้ายได้ ท่านกำลังพยายามทำให้ปราณแห่งความเคียดแค้นสงบลง หรือทำให้วังหลวงวุ่นวายขึ้นกันแน่ ผู้อาวุโสอู่ช่างใจกล้าเสียจริง ถึงได้กล้าหลอกลวงเบื้องสูงอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ท่านไม่กลัวหัวจะหลุดจากบ่าหรือ”
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสอู่ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ดังนั้นเขาจึงยังคงดูเยือกเย็น และไม่ได้ร้อนใจกับการสอบสวนของหนานกงเลี่ย
เขาหันหน้าไปหาฮ่องเต้ และกล่าวว่า ”ฝ่าบาท การนิมนต์พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านี้เข้ามาในวังหลวงเพื่อสวดคาถาเรียกวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่กระหม่อมทูลให้ท่านทราบมาก่อนแล้ว จะนับเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดช่วยสนับสนุนคำพูดของกระหม่อมด้วย!”
“เหล่าอู่บอกข้าเรื่องนี้แล้ว” ฮ่องเต้ยังคงใจลอยเหมือนอย่างเคย เขากล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า ”อาเลี่ย พวกเจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า และข้ารู้ว่าทำทุกอย่างโดยมีความสงบของวังหลวงเป็นที่ตั้งเสมอ ในเมื่อเหล่าอู่ตรวจสอบแล้วทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็ย่อมเป็นนิมิตหมายที่ดีแล้วนี่ พวกเราเลิกสนใจเรื่องนี้กันดีกว่า”
หนานกงเลี่ยหรี่ตาราวกับจิ้งจอกของตัวเองลง แล้วมุมปากของเขาก็คว่ำลงอย่างดูถูก แต่เขาไม่ได้ตอบกลับไป
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับค่อยๆ เอ่ยปากว่า ”ต่อให้ทำเพื่อความสงบสุขของวังหลวง แต่หลักฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น ผู้อาวุโสอู่ควรจะขอขมาที่ใส่ร้ายป้ายสีข้ากับพระชายาของข้ามิใช่หรือ”
ตอนที่เขาเอ่ยเช่นนั้นออกมา ท่าทางของเขายังคงไม่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ เขายังคงยืนหลังตรง ทั่วร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศอันสูงส่งและสง่างาม
แม้เขาจะมีท่าทางเช่นนั้น แต่ผู้อาวุโสอู่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายดูถูกอยู่ไม่มีผิด
นี่เป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด!
ฮ่องเต้มองผู้อาวุโสอู่จากนั้นจึงตวัดสายตาไปมองยังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มีสีหน้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ และใบหน้าไม่พอใจของหนานกงเลี่ย
เขารู้ว่าหากในเวลานี้เขาไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ในอนาคตนั้นพวกเขาย่อมไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
หลังจากชั่งน้ำหนักในใจได้แล้ว ฮ่องเต้ก็เปลี่ยนใจผลักความรับผิดชอบนั้นให้กับผู้อาวุโสอู่ ”ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เหล่าอู่ก็ควรจะขอขมาหนุ่มสาวทั้งสองเสีย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย”
“ฝ่าบาท!” ใบหน้าของผู้อาวุโสอู่เปลี่ยนจากใบหน้าอันเบิกบานเป็นใบหน้าอันซีดเผือดในชั่วพริบตา
เขาเป็นผู้อาวุโสมาถึงสามยุคสามสมัย และทุกคนในท้องพระโรงแห่งนี้ก็รู้จักชื่อเสียงของเขาในจักรวรรดิจ้านหลงเป็นอย่างดี
แต่ตอนนี้ฝ่าบาทกลับสั่งให้เขายอมรับความพ่ายแพ้และก้มหัวให้เฮ่อเหลียนเวยเวยที่อายุน้อยกว่าเขาต่อหน้าทุกคน!
เรื่องนี้ทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก!
“อะไรกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้างและเอนตัวไปด้านหลัง ”ผู้อาวุโสอู่พยายามขัดคำสั่งของฝ่าบาทหรือ”
“เหล่าอู่” ฮ่องเต้เร่งเขา น้ำเสียงของเขาเบากว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ผู้อาวุโสอู่คว้าถ้วยชามาจากขันที แล้วหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขาโกรธจนกล้ามเนื้อแทบเต้นตุบๆ ไปทั้งหน้าระหว่างที่เขาเดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย ในเวลานี้สิ่งเดียวที่เขาอยากทำที่สุดคือการขุดหลุมสักหลุม แล้วมุดเข้าไปหลบอยู่ข้างใน….