องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 565 กลัวจะทำให้องค์ชายเสียใจ
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยแข็งค้างทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
นางมีลางสังหรณ์ว่า สักวันหนึ่งนางย่อมต้องออกจากร่างนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยตอนที่นางขอให้คืนร่างนี้ให้กับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความฝัน
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วถึงเพียงนี้
เมื่อครู่นี้นางเพิ่งให้สัญญากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปด้วยซ้ำว่านางจะดื่มเป็นเพื่อนเขา
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะมาอยู่ในนรกได้ในเวลาสั้นๆ เพียงพริบตา…
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปรอบๆ น้ำเสียงของนางหนักแน่นและเย็นชา ”อย่างไรก็ออกไปจากที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”
นางไม่ชอบผิดนัดกับใคร อีกอย่างหนึ่ง นางก็ไม่อยากเห็นคนคนนั้นผิดหวัง
เพราะเขาแข็งแกร่งเกินไป
เขาใช้ชีวิตอยู่ในความมืด ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก และมักวางแผนการบางอย่างอยู่เสมอ เขามักจะเผยรอยยิ้มอันสง่างามทว่ากลับชั่วร้ายออกมาในยามโกรธ และรอยยิ้มนั้นทำให้ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีวันสะทกสะท้านต่อสิ่งใด
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาเองก็เสียใจเป็นเหมือนกัน
เขาจะฝืนยิ้มออกมาทุกครั้งที่เขารู้สึกไม่พอใจ เช่นเดียวกับที่เขาทำในวันนี้ตอนที่ถูกบิดาแท้ๆ ของตัวเองสงสัยว่าเป็นคนผิดตอนอยู่ในท้องพระโรง…
ดังนั้นนางจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม!
“เวยเวย จำไว้ให้ดีว่าถ้ามีคนยื่นน้ำแกงให้ เจ้าห้ามดื่มมันโดยเด็ดขาด ถ้าเจ้าเดินผิดทางให้ทำเพียงหันหลังกลับ และอย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจนัก” หยวนหมิงลดเสียงลง ”สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออย่าให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นวิญญาณคนเป็น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า แล้วเดินเลียบผ่านประตูเข้าไป ภาพที่นางเห็นคือภาพของยมทูตที่มีศีรษะเป็นม้าและวัวกำลังเดินนำคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าขึ้นสะพานโค้ง
สะพานนั้นทำจากหิน มันดูเหมือนสะพานทั่วไป แต่กลับดูมืดผิดปกติเมื่อเทียบกับที่อยู่ในโลกมนุษย์
ทุกคนที่เดินอยู่บนสะพานล้วนแต่สวมเสื้อคลุมตัวยาว ที่แขนและขาของพวกเขาไม่มีโซ่ล่าม แต่สีหน้าของพวกเขากลับราบเรียบไร้อารมณ์ พวกเขาดูเหมือนวิญญาณที่เร่ร่อนไปโดยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
มีหญิงชราหลังค่อมถือถ้วยใบหนึ่งเอาไว้ในมือยืนอยู่ใกล้กับทางขึ้นสะพาน พวกเขามองไม่เห็นใบหน้าของนาง เห็นแค่เพียงว่านางกำลังถือน้ำแกงอยู่ถ้วยหนึ่งเท่านั้น
“นั่นยายเมิ่ง” หยวนหมิงหรี่ตาลง ”อย่าไปตรงนั้นเลย ถ้าพวกเขาเห็นเจ้า พวกเขาจะสั่งให้เจ้าดื่มน้ำแกงแล้วข้ามสะพานไป ทันทีที่เจ้าข้ามสะพานนั้นและเข้าสู่เส้นทางแห่งการเกิดใหม่ เจ้าจะไม่ได้กลับมาอีกเลย จากนี้ไปพยายามเลี่ยงอย่าสบตาพวกเขา แล้วเดินเลียบไปทางขวา ที่นั่นน่าจะมีศาลวิญญาณอยู่ และทางออกสู่โลกมนุษย์ก็น่าจะอยู่บริเวณชั้นหนึ่งของที่นั่น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำตามคำแนะนำของหยวนหมิง และพยายามซ่อนตัวอยู่ในความมืด ซึ่งนั่นนับว่าเป็นภารกิจง่ายๆ สำหรับนาง เพราะวิญญาณคนตายที่อยู่ในยมโลกล้วนแต่จ้องตรงไปข้างหน้า พวกเขาไม่แม้แต่จะเคลื่อนสายตาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเปิดโอกาสให้เฮ่อเหลียนเวยเวยซ่อนตัวจากพวกเขาได้
ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่ยมทูตที่มีศีรษะเป็นวัวและเป็นม้านั่นต่างหาก สายตาของพวกมันไม่เคยอยู่นิ่งเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตาทั้งสองข้างของพวกมันทอแสงสีแดงดูชั่วร้าย อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะส่งเสียงพูดคุยกันในระหว่างกวาดตามองไปรอบๆ อีกด้วย แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกมันพูด
“พวกเขาพูดภาษาผี” หยวนหมิงตั้งใจฟัง ”ชายคนที่ต้องการเอาวิญญาณของเจ้าใช้ค่ายกลนี้ทำให้เขตแดนระหว่างยมโลกและโลกมนุษย์พร่าเลือน ดูเหมือนเขาจะเพิ่มงานให้พวกเขามากทีเดียว”
“คงไม่ใช่แค่นั้นกระมัง พวกเขาดูหงุดหงิดจริงๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับชำเลืองมอง
“เอ่อ นอกจากการทำให้เขตแดนระหว่างสองภพพร่าเลือนแล้ว ยังดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นยังตั้งใจที่จะเปิดประตูนรก และปลดปล่อยวิญญาณร้ายที่อยู่ในนรกทั้งสิบแปดชั้นออกมาด้วย” หยวนหมิงยิ้มอย่างชั่วร้าย ”ช่างเป็นความคิดที่น่าสนใจและกล้าหาญเสียไม่มี ยิ่งกว่านั้นเขายังจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าอีกด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น ”ความช่วยเหลือจากข้าหรือ”
“ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายที่ถูกร่ายขึ้นบนแผ่นดินของเจ้าก่อนหน้านี้จะสามารถคลายออกได้ด้วยเลือดจากทายาทของผู้ขับไล่วิญญาณ และนั่นก็คือเลือดของเจ้า” สีหน้าของหยวนหมิงยังคงชั่วร้ายไม่เปลี่ยนขณะที่เขาพูดเช่นนั้นออกมา ”อย่าประเมินเลือดของตัวเองต่ำนัก ถ้าเจ้าตั้งใจใช้มันให้ดี เจ้าสามารถเปิดประตูนรกได้เลยทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ”ความตั้งใจของข้าบอกว่าข้าไม่อยากเดินเตร่อยู่ที่นี่แล้วเจอผีเข้า”
“แต่แน่นอนว่าความตั้งใจของเจ้าจะเป็นอย่างไรนั้นย่อมไม่สำคัญ” หยวนหมิงเดินไปข้างหน้าสองก้าว เขาเกือบจะชนเข้ากับยมทูตหัววัวที่กำลังดูแลวิญญาณตนหนึ่งอยู่
โชคดีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเร็วพอที่จะคว้ามันกลับมา!
ยมทูตหัววัวไม่ถูกหลอกง่ายๆ มันหันหน้ากลับมาและมองเข้ามาในมุมมืดของถ้ำแห่งนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับหยวนหมิงกลั้นหายใจพร้อมกับซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ดวงตาใหญ่ผิดธรรมชาติของยมทูตหัววัวสอดส่ายไปมาขณะที่มันค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้พวกนาง…
“มีอะไรหรือ” ยมทูตหัวม้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ยื่นมือออกไปจับมันเอาไว้
ยมทูตหัววัวไม่ตอบ มันหยิบมีดขึ้น แล้วแทงตรงไปทางที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันจึงหันมาตอบว่า ”ไม่มีอะไร ข้านึกว่ามีใครลอบเข้ามาเสียอีก”
“ใครที่ไหนจะกล้าเข้ามาในยมโลก” ยมทูตหัวม้าหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย
ยมทูตหัววัวเลียริมฝีปาก ”ถ้ามีใครกล้าเข้ามาจริงๆ มันได้กลายเป็นอาหารเย็นของพวกเราแน่”
“หยุดฝันหวานและทำงานต่อได้แล้ว วันนี้บุตรชายของราชาแห่งนรกอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก ถ้าเจ้าไม่ส่งวิญญาณพวกนี้กลับไปอยู่ในที่ของมันละก็ พวกเราคงไม่ได้กินอะไรดีๆ แน่” ยมทูตหัวม้าดึงโซ่ และเดินหายไปหลังจากพูดจบ
ยมทูตหัววัวยังคงลังเล ดังนั้นมันจึงหันกลับมามองในความมืดนั้นอีกครั้งก่อนเดินจากไป
จากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเดินออกมาและกลับมาหายใจตามปกติ
จากที่หยวนหมิงบอก ยมทูตหัววัวหัวม้าไม่สามารถทำอะไรมนุษย์ทางกายภาพได้ แต่วิญญาณของพวกเขาจะติดตามทั้งสองไปอย่างเต็มใจโดยอัตโนมัติหากเผลอสบตากับพวกเขา
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ยมทูตหัววัวหัวม้ามีหน้าที่รอรับดวงวิญญาณของคนที่ใกล้ตายในโลกมนุษย์
ในที่สุดนางก็สามารถผ่านการทดสอบอันแสนท้าทายนั้นมาได้อย่างปลอดภัย
พอเดินห่างออกมาทางด้านขวามือ นางก็มองไม่เห็นสะพานแห่งนั้นอีกต่อไป อีกทั้งวิสัยทัศน์การมองเห็นของนางก็พลันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ บนกำแพงหินมีคบเพลิงประดับอยู่ทุกที่ แสงจากคบเพลิงนั้นทำให้เงาที่ทอดยาวอยู่บนพื้นดูราวกับล่องลอยอยู่
“นั่นคือศาลวิญญาณลำดับแรก แต่การจะผ่านมันไปได้นั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย” อาจเป็นเพราะว่าพวกนางอยู่ในนรก เสียงของหยวนหมิงจึงฟังดูอู้อี้เล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยแนบตัวไปกับผนัง และยื่นศีรษะออกไป นางเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตัวหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกนางมากนัก
มองจากระยะไกล สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตัวนั้นดูเหมือนสุนัขขนาดใหญ่ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง มันดูเหมือนสุนัขสายพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์
เฮ่อเหลียนเวยเวยชอบสุนัขก็จริง แต่นางทำใจให้ชอบเจ้าตัวนี้ไม่ลง
เพราะมันมีสองหัว แต่ละหัวมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือพวกมันกำลังแยกเขี้ยวอยู่
ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงราวกับหินหลอมเหลว และขนดกหนาติดจะชื้น อีกทั้งยังมีกลิ่นคล้ายกำมะถันอีกด้วย
“นั่นคือสุนัขเฝ้าปากทางนรกที่คนเขาลือกันหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา
หยวนหมิงมองนางด้วยความประหลาดใจ ”เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“มันมีเขียนเอาไว้ในหนังสือ ว่ากันว่ามันเป็นสุนัขเฝ้ายามของนรก มันจะปรากฏตัวขึ้นตอนกลางคืนและกินร่างของศพที่เพิ่งถูกฝังลงดินใหม่ๆ หากมนุษย์เห็นมันเข้า พวกเขาจะต้องตายในวันถัดไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มมุมปาก ”ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีอยู่จริง…”