องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 569 คนเดียวของเขา
ได้ยินเช่นนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงวางม้วนกระดาษโบราณในมือลงอย่างไม่แยแส ผมสีดำปล่อยยาวสยายลงบนบ่า รับกับใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้น เขามองไปทางนางพร้อมกับส่งเสียงตอบรับอย่างแผ่วเบา เขายกขาเรียวยาวขึ้น ผมดำขลับราวกับน้ำหมึกนั้นดูไม่ได้เรียบร้อยเหมือนในยามที่เขาอยู่ต่อหน้าผู้คน จากนั้น เขาก็ออกคำสั่งอย่างไม่เร่งรีบเช่นเคยว่า ”มานี่สิ”
ความยินดีอัดแน่นอยู่ภายในใจของอวิ๋นปี้ลั่ว แต่นางไม่ได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา นางแสร้งปั้นสีหน้าเย็นชาขณะเดินเข้าไปใกล้เขา แต่ในตอนที่นางกำลังจะเอนร่างเข้าสู่อ้อมกอดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่นเอง…
ก็มีข้ารับใช้คนหนึ่งเข้ามาทำลายบรรยากาศนั้นลงเสียก่อน
“ฝ่าบาท” ข้ารับใช้คนนั้นใช้มือสองข้างถือถาดไม้เอาไว้ บนถาดนั้นมีสุราใบไผ่และจอกเหล้าสีขาวอยู่สองใบ ”นี่คือสุราที่องค์ชายสั่งเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบจอกใบหนึ่งขึ้นมา แล้วเล่นกับมันอยู่ครู่หนึ่ง ปลายนิ้วของเขาดูเปล่งประกายระหว่างที่ทำเช่นนั้น ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาชวนมอง ยิ่งในเวลานี้ที่เขาใช้มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะของตัวเองไว้ และใช้มืออีกข้างหมุนจอกเหล้านั้นด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้านั้นก็ยิ่งทั้งดูเย่อหยิ่งและน่าหลงใหลอย่างมาก เขานั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหรี่ตาลงมองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่ราวกับมีรอยยิ้มอยู่ภายใน ท่าทางเช่นนั้นทำให้เขาดูเหมือนกับเทพแห่งราคะจากยุคโบราณไม่มีผิด
อวิ๋นปี้ลั่วเป็นคนหัวไว นางเข้าใจสถานการณ์ได้ทันทีที่เห็นจอกสองใบนั้น นางยื่นมือออกไปหยิบจอกที่เหลืออีกหนึ่งใบอย่างรวดเร็ว
ข้ารับใช้คนนั้นวางถาดลงอย่างเคารพ แล้วจึงออกจากห้องไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีอุปสรรคใดขวางทางนางอีกต่อไป ขาของอวิ๋นปี้ลั่วก็อ่อนแรง นางคิดจะนำมารยาเก่าของตัวเองออกมาใช้
แต่นางนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ชายหนุ่มจะลุกขึ้นยืนโดยไม่บอกกล่าว ส่งผลให้นางร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยท่าทางน่าอาย
“องค์ชาย?” อวิ๋นปี้ลั่วเคลื่อนสายตาขึ้นมองเขาด้วยความสับสน ความตื่นตระหนกสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เขาจำข้าได้หรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกดสายตาลงมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งมือให้นางอย่างช้าๆ ดวงตาเรียวรีของเขางดงามราวกับดวงดารา ”เจ้าโง่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
เขายังจำข้าไม่ได้! อวิ๋นปี้ลั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว และกำลังจะยื่นมือไปจับมือเขา
แต่เขากลับเคลื่อนมือออกจนนางเอื้อมไม่ถึง เส้นผมที่ปรกหน้าผากของเขาขยับเล็กน้อย รอยยิ้มอันสง่างามที่วาดอยู่บนริมฝีปากของเขาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันโหดเหี้ยมราวกับดอกม่านถัวหลัวที่เบ่งบานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนรก มันแผ่บรรยากาศชั่วร้ายอันยากจะอธิบายออกมา และยังดูเย็นชาชั่วร้ายโดยเนื้อแท้
“การได้เห็นใครบางคนนำใบหน้านี้มาใช้ทำเรื่องโง่เขลาพรรค์นี้ช่างทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก”
ดวงตาของอวิ๋นปี้ลั่วสั่นไหว นางเผลอก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ ”องค์ชาย…”
“นางอยู่ที่ไหน” เขามองนางอย่างเย็นชาพร้อมกับแยกเขี้ยวด้วยท่าทางที่ยังคงหล่อเหลาราวกับเทพบุตร ร่างเพรียวบางที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมสีดำแผ่จิตสังหารอันเย็นชาออกมา!
ทันใดนั้นอากาศที่อยู่รอบๆ ก็พัดเข้าหากันจนเกิดเป็นสายลมรุนแรงที่สามารถกรีดผ่านผิวหนังได้ขณะที่มันพัดไปมารอบห้อง
อวิ๋นปี้ลั่วรู้อยู่เสมอว่าองค์ชายทรงพลังเพียงใด เขาทั้งสูงศักดิ์และสง่างาม อีกทั้งยังไม่เคยถูกใครยั่วยุได้ง่ายๆ
แค่เลิกคิ้วเพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวได้เลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นย่อมไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ใกล้ในยามที่เขาโกรธ!
อวิ๋นปี้ลั่วสัมผัสได้ถึงความกลัวที่แล่นผ่านเส้นเลือด แม้กระทั่งเสียงของนางก็ยังแหบแห้งและสั่นเครือ ”องค์ชาย ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ” นางก้าวถอยหลังพร้อมกับปฏิเสธ นางคิดอย่างเงียบๆ ว่าบางทีเขาอาจจะแค่กำลังทดสอบนางอยู่!
“ไม่เข้าใจหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอดถุงมือสีขาวที่สวมอยู่ออก แล้วโน้มตัวลงมาหานางอย่างชั่วร้าย ความมืดนั้นสว่างไสวราวกับเวลากลางวันสำหรับเขา เพราะดวงตาของเขาสามารถมองเห็นในที่มืดได้ ในเวลานี้ ตาคู่นั้นราวกับกำลังเปล่งประกายด้วยแสงสีแดง ”ถ้าข้าหักซี่โครงเจ้าสักซี่ เจ้าจะเข้าใจขึ้นมาหรือเปล่า”
อวิ๋นปี้ลั่วมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายนั้น นางหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาสังหารผู้คนอย่างสนุกสนานด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น เพียงชั่วพริบตา หนังศีรษะของนางก็ชาวาบไปด้วยความหวาดกลัว!
“ข้าไม่เข้าใจ! ข้าทำผิดพลาดตรงไหนหรือ” ข้าระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีมาตลอด! ข้าถึงกับเลียนแบบท่าทางของเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งแต่คำพูดไปจนถึงการเดินเลยด้วยซ้ำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคว้าคอของนางขึ้น และหัวเราะอย่างเย็นชา ”เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ บอกข้ามาได้แล้วว่านางอยู่ที่ไหน”
“องค์ชาย แค่ก เราสองคนต่างก็รู้ว่าท่านเพียงแค่ใช้นางเป็น อั้ก ตัวแทนของเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้น นางไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวจริงด้วยซ้ำ หากนางไม่ออกจากร่าง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จะไม่มีวันได้กลับมา ท่านขัดขวางคาถาเรียกวิญญาณของพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นเพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยตัวจริงไม่มีใจให้ท่านหรือ” ใบหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วกลายเป็นสีเขียวคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่นางพูด นางทุ่มกำลังทั้งหมดที่ตัวเองมีเพื่อเค้นประโยคเหล่านั้นออกมา แต่นางก็ยังโกรธ นางโกรธในความโชคดีของผู้หญิงคนนั้น!
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะให้คำตอบนาง แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับยิ่งเพิ่มแรงที่นิ้วของตัวเองขึ้นราวกับต้องการบีบคอนางให้ตายคามือ ”ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง นางอยู่ที่ไหน”
อวิ๋นปี้ลั่วหายใจไม่ออก ปลายนิ้วเท้าของนางแทบจะไม่ติดพื้น นางประสานสายตากับเขา และเอ่ยว่า ”องค์ชาย นางเป็นเพียงแค่เงาของคนคนหนึ่งเท่านั้น หากท่านต้องการเฮ่อเหลียนเวยเวยจริงละก็ ท่านต้องปล่อยให้นางตัวจริงกลับมา!”
“เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกนางขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว
มีคนกล้าแตะต้องเหยื่อตัวนั้นภายใต้จมูกของเขา
เมื่อเทียบกับคลื่นแห่งความโกรธอันรุนแรงที่เขารู้สึก จิตใจของเขากลับปั่นป่วนไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกอันยากจะเอ่ย
เขาไม่ชอบภาพที่ตัวเองวาดอยู่ในใจเอาเสียเลย
เมื่อคิดว่าคนที่คอยเตรียมขนมให้กับเขาด้วยความขยันขันแข็ง คนที่ปาผ้าเช็ดตัวของตัวเองใส่เขาหลังจากอาบน้ำเสร็จ แล้วสุดท้ายก็มานอนอยู่บนตักเขาเพื่อให้เขาเช็ดผมให้ คนที่เดินทางไปที่วัดหลิงอิ่นด้วยตัวเองเพียงลำพัง และทำพิธีคำนับขั้นบันไดกว่า 9999 ขั้นเพื่อลดบาปกรรมที่เขาแบกไว้จะไม่มีวันหวนกลับมาอีก เขาก็โมโหจนแทบอยากฆ่าใครสักคน!
นางยังมีหน้ามาถามเขาได้อย่างไรว่านางทำผิดตรงไหน
หึ ต่อให้ตัวเขาอาบไปด้วยเลือด ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่กลัวที่จะเข้ามาหาเขา นางไม่ได้หวาดกลัวหรือคิดที่จะหลบซ่อนจากเขา มิหนำซ้ำยังถามเขาไม่ได้ขาดว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า!
ทำไม ทำไมคนพวกนี้ถึงต้องการพรากสิ่งเดียวที่เป็นของเขาไปด้วย!
ยกโทษให้ไม่ได้!
ในเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น แต่ราวกับมีบางสิ่งถูกทำลายลงจนไม่เหลือซาก!
เล็บคมกริบราวใบมีดยืดยาวออกมาจากนิ้วเรียวสวยของเขา จากนั้นมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็แทงทะลุเข้าไปในหัวใจของอวิ๋นปี้ลั่ว!
เลือดสดๆ ไหลลงมาทีละหยด
ดวงตาของอวิ๋นปี้ลั่วเบิกโพลงด้วยความไม่เชื่อ นางจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่อยู่ตรงหน้านาง ตาคู่นั้นไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ”ท่าน… ท่าน…”
ความรู้สึกเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นในอกของเขาทำให้ความอดทนนั้นหายไปจนหมดสิ้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไป แล้วโยนอวิ๋นปี้ลั่วที่กำลังจะสิ้นใจไว้ข้างๆ พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองแทนการบอกให้นางเงียบ ตั้งแต่ริมฝีปากสีแดงสด ไปจนถึงผิวขาวซีดของเขา ทุกตำแหน่งล้วนแต่แผ่จิตสังหารอันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและชั่วร้ายออกมา
จากนั้นเขาจึงยืนขึ้น แผ่นหลังของเขาเหยียดตรง มันเต็มไปด้วยความสง่างามและบรรยากาศแห่งความสูงศักดิ์อวดดี เสื้อคลุมสีดำตัวยาวของเขากระพือไปตามสายลมอันรุนแรง เขาเช็ดเลือดสดๆ ออกจากนิ้วตัวเองด้วยความขยะแขยง และในชั่วพริบตา เขาก็ก้าวเท้าเข้าสู่ค่ำคืนมืดมิดที่ราวกับมีหมอกสีดำปกคลุมอยู่ ทุกๆ ย่างก้าวที่เขาออกเดินล้วนแต่ทิ้งกลิ่นคาวเลือดเอาไว้เบื้องหลัง!