องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 59 ไม่อยากเป็นพระชายา
สายตาคู่นั้นดูเยือกเย็นอย่างมาก
จิ้งอู๋วั่งยังคงไม่รู้ตัว และไม่ได้สังเกตเห็นความหมายในดวงตาคู่นั้นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วริมฝีปากสีแดงสดของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น องค์ชายสามน่าจะไม่อดทนอีกต่อไป
แน่นอนว่าคิ้วหนาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นขมวดแน่น และไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงยืนนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง และดูราวกับเป็นคนเอาแต่ใจที่เมื่อเห็นว่ามีอะไรไม่เหมาะสม นางก็จะต้องทำอะไรบางอย่างกับมัน
นางรู้ดีว่าคนเหล่านี้กำลังรอดูนางอับอาย และต่างก็อยากเห็นว่าองค์ชายสามจะสั่งสอนนางที่ทำตัวไม่มีมารยาทอย่างไร
นางไม่สนใจเลย นางเป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว หากเป็นเรื่องที่นางรู้สึกว่าจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง นางก็จะทำ นางไม่อาจมองดูเด็กชายแก้มซาลาเปาตัวน้อยคนนั้นถูกกลั่นแกล้งได้
ฮื้มม… นางเพิ่งจะบีบแก้มของเจ้าซาลาเปาตัวน้อยคนนี้ไป
สัมผัสช่างนุ่มนิ่มจนไม่มีอะไรเทียบได้เลย
แต่นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมองค์ชายสามถึงใช้สายตาราวกับนางเป็น ‘คุณป้าผู้แปลกประหลาด’ มองนางด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้
เมื่อนางกำลังจะพิจารณาให้ละเอียดมากขึ้น ฝ่าบาทที่อยู่ห่างไกลคนนั้นก็ถอนสายตาออกไปแล้ว เมื่อมองจากด้านข้างของหน้ากากสีเงิน นางก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกใดๆ จากเขาได้อีก เขานั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน และเอามือเท้าแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะอ้าปากพูด “มานี่”
หา องค์ชายสามเรียกใครกัน
ก่อนที่ทุกคนจะทันมีปฏิกิริยาใดๆ พวกเขาก็เห็นเด็กชายตัวน้อยวิ่งผ่านไป พร้อมกับร้องตระโกน “ท่านพี่”
ท่านพี่เช่นนั้นหรือ
หน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที นางผงะถอยหลัง
ทุกๆ คนต่างก็ตัวแข็งเกร็ง
แม้แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ นางไม่คิดว่าเด็กชายคนนั้นจะเกิดมาในตระกูลราชวงศ์เช่นนี้
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ และหมุนแหวนในมือต่อ แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ “อาจารย์จิ้งคิดว่าน้องเจ็ดจะทำให้ข้าขุ่นเคืองใจได้อย่างไรกัน อธิบายให้ข้าฟังหน่อยสิ”
จิ้งอู๋วั่งเกือบจะพูดคำว่า ชิ-หายแล้ว เขารู้สึกหวาดกลัวมากเสียจนร่างกายแข็งเกร็งไปหมด ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นสะท้าน และทำได้เพียงแค่คุกเข่าลงเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างเย้ยหยัน และพูดกับขันทีซุน “ขันทีซุน”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนโค้งตัวรับคำสั่ง
น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย มันยังคงเรียบเฉยอยู่เสมอ “บอกรองเสนาบดีฟางว่าภายในสามวัน ข้าจะไปหาด้วยตนเอง เพื่อจะไปลงโทษและยึดบ้านของเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ผิวหนังของขันทีซุนตึงเครียด
ฟางถิงถิงตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า นางคุกเข่าลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังลั่น
“ฝ่าบาทเพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันเป็นคนซื่อสัตย์และเป็นขุนนางที่ประพฤติตัวดีมาโดยตลอด ฝ่าบาทไม่ควรทำเช่นนี้เพคะ ฝ่าบาททำเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยป้อนเนื้ออบแห้งให้กับน้องชายตัวน้อย จากนั้นจึงหันศีรษะมามองพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มนัก “ซื่อสัตย์และประพฤติตัวดีเช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี นางอยากจะบอกให้ฟางถิงถิงหยุดพูด แต่นางก็ไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปเปื้อนโคลนด้วยเช่นกัน
ฟางถิงถิงมักจะถูกคนในตระกูลเลี้ยงดูอย่างตามใจ นางตะโกนออกมาเสียงดัง “ท่านพ่อของหม่อมฉันทำสิ่งต่างๆ มากมายให้กับราชสำนักเพคะ แล้วการรับสินบนเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นความผิดยิ่งใหญ่หรืออย่างไรกันเพคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้งอู๋วั่งก็รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก ทำไมคุณหนูตระกูลฟางถึงได้โง่เขลาเช่นนี้
หลังจากนี้ ก็จะสะสางเรื่องราวเหล่านี้ได้ยากแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวพร้อมกับกำลังคิดว่าขนมขบเคี้ยวใดที่จะเหมาะกับการรับชมละครฉากนี้ ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น นางก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่เข้าปากของตน
น้ำเสียงอันทุ้มต่ำและเรียบเฉยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง “ขันทีซุน เมื่อเจ้าไปที่บ้านของรองเสนาบดีฟาง ก็ให้พาคุณหนูฟางไปด้วย และให้นางพูดประโยคที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้รองเสนาบดีฟางรู้ถึงความผิดของนาง หากเขาเลี้ยงบุตรสาวเหมือนอย่างบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนที่นอกจากกินแล้ว ก็ไม่ทำอะไรเลย บางทีศีรษะของเขาอาจจะยังอยู่บนคอก็เป็นได้”
แค่ก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสำลักขนมหวานในปากของตนเอง
หากองค์ชายสามจะลงโทษคนก็ลงโทษไป ทำไมเขาต้องดึงนางไปเปรียบเทียบด้วยเล่า
แล้วยังใช้คำว่า ‘นอกจากกินแล้ว ก็ไม่ทำอะไรเลย’ ด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้เป็นคนที่ทำอะไรได้อย่างโหดเหี้ยมจริงๆ
โดยทั่วไปแล้ว หากจะฆ่าใครสักคน คนอื่นก็จะฆ่าเลย
แต่ฝ่าบาทคนนี้กลับต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องฆ่า
เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นการทำให้คนๆ นั้นรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นมิใช่หรือ
หรือเขารู้สึกว่าการริบสมบัติเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอที่จะระบายความโกรธของเขาได้ เขาจึงต้องฆ่าตระกูลฟาง พร้อมกับตักเตือนตระกูลซูไปด้วย เพราะทั้งสองตระกูลนี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับจิ้งอู๋วั่งเช่นนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนมีไหวพริบอย่างมาก
เพราะประโยคถัดไปของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคือ “อาจารย์จิ้ง ตอนนี้ เจ้าต้องเขียนฎีกาส่งไปที่วังแล้วหรือไม่ เพื่อที่อัครเสนาบดีซูกับเจ้าจะได้ช่วยกันขอผ่อนผันโทษแทนรองเสนาบดีฟาง”
“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิบังอาจ”
ทันใดนั้น แม้แต่จิ้งอู๋วั่งก็คุกเข่าลงกับพื้น ริมฝีปากของเขาซีดเผือด และความเย่อหยิ่งในช่วงสองสามวันก่อนก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
ฟางถิงถิงรับรู้ได้ว่าครั้งนี้ ตระกูลของนางจะต้องถึงคราวจบสิ้นแล้ว
แต่จนกระทั่งตอนที่นางถูกลากตัวออกไป นางก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องผิดพลาดร้ายแรงได้อย่างไร
พวกเขาได้รับข่าวว่าองค์ชายสามจะเสด็จมาก่อนคนอื่น พวกเขาก็เริ่มเฝ้ารอการเสด็จมาเยือนขององค์ชายสาม เพื่อหวังจะได้ใช้โอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์
แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ประมาทจนเผลอทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองใจเช่นนี้เล่า
ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีใครเคยบอกพวกเขาเลยว่าองค์ชายเจ็ดอยู่ในสำนักไท่ไป๋ด้วย…
ไม่ว่าฟางถิงถิงจะพยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เพราะตอนนี้ นอกจากความรู้สึกเสียใจแล้ว นางก็ยังหวาดกลัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมากอีกด้วย
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แม้แต่จิ้งอู๋วั่งก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เขารู้ดีว่าเหตุผลที่องค์ชายสามยังไม่ยึดทรัพย์สินอะไรไปจากเขา ก็เพราะที่นี่คือสำนักไท่ไป๋
ทุกคนที่เข้ามาในสำนักไท่ไป๋จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนัก พวกเขาไม่สามารถขัดคำสั่งของอาจารย์ได้ และยังไม่อาจใช้อำนาจของการเป็นราชนิกุลได้อีกด้วย
นี่เป็นกฎที่ถูกตั้งขึ้นโดยอดีตฮ่องเต้ และไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนได้
ดังนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงไม่อาจส่งฟางถิงถิงเข้าคุกใต้ดินได้ แต่กลับอ้างว่านาง ‘ขอลาหยุด’ เพื่อให้คนพานางไปยังจวนตระกูลฟางได้นั่นเอง
ส่วนการจัดการรองเสนาบดีฟางนั้นอยู่นอกเหนือสำนักไท่ไป๋ ดังนั้น องค์ชายสามจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
กฎของสำนักไท่ไป๋ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
เมื่อจิ้งอู๋วั่งลุกขึ้นยืน แผ่นหลังของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขานั่งลงบนตำแหน่งเดิมของตนเองอย่างระมัดระวัง และภาวนาให้งานเลี้ยงนี้จบลงโดยเร็วที่สุด
ในขณะนั้นเอง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็พยายามคิดหาวิธีชดเชยผลที่จะตามมาจากการที่ตนเองเข้าข้างผิดฝ่าย นางหันหลังกลับและสั่งคนข้างหลังด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล “บอกพ่อครัวให้ทำอาหารมาเพิ่มด้วย ต้องให้องค์ชายเจ็ดทานอาหารดีๆ”
หลังจากพูดจบ นางก็หันหน้าไปหาไป๋หลี่คงเฉินพร้อมกับยิ้มให้
แต่เด็กชายตัวเล็กกลับไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย เขาพูดด้วยใบหน้าอันน่ารักว่า “ท่านพี่ ไม่จำเป็นต้องให้คุณลุงหัวหน้าพ่อครัวทำงานหนักหรอก ข้ากินแค่ซาลาเปาไส้เนื้อก็พอแล้ว”
มือที่ยกขึ้นของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แข็งทื่อ ใบหน้าของนางแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เฮ่อเหลียนเหมยรีบมาช่วยพี่สาวของตนจากสถานการณ์อันน่าอับอายนี้ทันที “พี่รอง องค์ชายเจ็ดช่างมีจิตใจอ่อนโยนยิ่งนัก ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าจะกินอะไรที่ข้าอยากกินเท่านั้น ข้าไม่เคยคิดว่าพ่อครัวจะต้องทำงานหนักเลย”
“อืม ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของศิษย์ตัวน้อยคนนี้ แต่ข้าก็คิดว่าเด็กชายคนนี้เป็นคนที่ฉลาดและมีเหตุผลจริงๆ เมื่อครู่นี้ เขาหิวมาก จึงทำเรื่องน่าหมั่นเขี้ยวเช่นนั้นไปอย่างไม่ทันคิด” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ทำตัวไร้ยางอายมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ นางเพิ่งจะพูดจาเย้ยหยันเด็กชายตัวน้อยคนนี้ แต่ตอนนี้ บทสนทนากลับเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ นางเอาแต่พูดจายกย่องชื่นชมไม่ขาดปาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าคำเยินยอเหล่านั้นช่างน่าเบื่อยิ่งนัก หลังจากที่นางกินอิ่มแล้ว นางก็ฟุบลงบนโต๊ะ พร้อมกับหันหน้าไปทางด้านข้าง และเริ่มง่วงนอน ดูเหมือนว่าจะละทิ้งเรื่องการคัดเลือกพระชายาไว้เบื้องหลังอย่างเห็นได้ชัด
เด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอยู่สักพักหนึ่งแล้ว หลังจากนั้น เขาก็หันหน้ามาพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ ดูผู้หญิงคนนั้นสิ นางหลับไปอีกแล้ว ดูเหมือนว่านางจะไม่สนใจที่จะเป็นพระชายาเลย”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแทบจะไม่กะพริบตา ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขากำลังมีความสุขหรือกำลังโกรธอยู่ แต่ดวงตาเรียวยาวที่กำลังหรี่ลงภายใต้หน้ากากสีเงินคู่นั้นดูเหมือนอุณหภูมิจะลดลงไปหมดแล้ว มันเยือกเย็นจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง…