องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 592 ความรักของฝ่าบาท
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้วางแผนที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกราชินี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยละมือออกจากนางด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน การเคลื่อนไหวของเขายังคงสง่างามดังที่เป็นมาตลอด… แต่มันก็มากไปด้วยความเย็นชาและห่างเหินจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่คนเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลัวว่าเขาจะจากไป ดังนั้นนางจึงคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้อย่างเผลอตัว แล้วพยายามแก้ตัวว่า “ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
“หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูด นิ้วเรียวของเขาเหยียดตรง แสงสลัวปิดบังสีหน้าทั้งหมดที่อยู่บนใบหน้าของเขาเอาไว้ “เช่นนั้นก็ลองสวมมงกุฎก่อนสิ”
เขาคิดว่าเหยื่อตัวน้อยของเขาจะต้องทำตามสิ่งที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน
เพราะนางเชื่อฟังเขามาโดยตลอด
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ขยับตัว นางกำมือเข้าหากันแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่นางปฏิเสธเขา “ขอโทษ ข้าทำไม่ได้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ที่เดิมภายใต้เงามืด ท่าทางของเขาสง่างาม แผ่นหลังของเขายังคงเหยียดตรง และศีรษะนั้นยังคงไม่คิดที่จะก้มให้กับผู้ใด นิ้วมือที่อยู่ภายใต้ถุงมือสีดำของเขาเกร็งเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็เลือนหายไป
แม้แต่การเสแสร้งอันงามสง่าของปีศาจที่เขาเคยมีก็ยังหายไปจนหมดสิ้น หลงเหลือไว้เพียงแค่ความเย็นชาราวน้ำแข็ง
“นายท่านขอรับ!” กิเลนอัคคีและชิงหลงเอ่ยทำความเคารพเขามาจากนอกห้อง พร้อมกับรายงานอย่างตื่นเต้นว่า “พวกข้ารู้แล้วขอรับว่าที่โลกมนุษย์มีประเพณีแต่งงานกันอย่างไร ดูเหมือนว่าคู่บ่าวสาวจะต้องสวมชุดแต่งงานสีแดงสด บนเตียงจะต้องมีถั่วและพุทราแดงโรยเอาไว้ และเกี้ยวจะต้องถูกหามเข้ามาใน…”
ชิงหลงและกิเลนอัคคีหยุดพูดและชะงักไป สาเหตุนั้นไม่ใช่ใดอื่น แต่เป็นเพราะดวงตาสีแดงผิดธรรมชาติของผู้เป็นนายนั่นเอง นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นนายท่านในสภาพนี้
แต่โชคร้ายที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินั้น เขากลับยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายแล้วถามว่า “ทำไมเจ้าไม่พูดต่อล่ะ หืม”
ชิงหลงตกตะลึง จากนั้นมันก็ก้มศีรษะลงทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยายามทำให้อาการสั่นสะท้านในอกของตัวเองสงบลง
สิบปี หรืออาจจะร้อยปีเลยด้วยซ้ำ
เขาไม่เคยปฏิบัติต่อมนุษย์คนใดด้วยความอดทนเช่นวันนี้มาก่อน
สิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุดคือการใช้ปลายเล็บสีดำของตัวเองฉีกกระชาก ‘เปลือกนอก’ ของพวกมันออก พร้อมกับเพลิดเพลินไปกับเลือดสดอุ่นร้อนนั้น
มีเพียงแค่ช่วงเวลานั้นเท่านั้นที่เขาจะได้สัมผัสถึงความอบอุ่น
ในที่สุดก็มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น และทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อน้อยลง
แต่เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้กลับไม่คิดที่จะอยู่กับเขา
ช่าง ‘น่าขัน’ นัก…
“ฮ่าๆ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเย็นชา ระหว่างที่ประกายแสงสีแดงอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองมงกุฎที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นแล้วขมวดคิ้ว นางทำให้ทุกอย่างแย่ลงหรือเปล่า
ตลอดสามวันที่ผ่านมา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่โผล่หน้ามาหานางเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่คุณภาพชีวิตของนางกลับดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
วังปีศาจได้รับการตกแต่งประดับประดาด้วยแสงไฟสว่างไสวไปทั่วทุกที่
ในระยะนี้คนที่เข้ามาในวิหารแห่งแสงสว่างมีเพียงแค่ชิงหลง มันเอ่ยเสียงเบา แต่กลับสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน “มงกุฎราชินีปีศาจเป็นสิ่งที่ราชาปีศาจทำขึ้นด้วยมือตัวเอง นี่เป็นประเพณีที่ราชาปีศาจทุกรุ่นปฏิบัติสืบทอดกันมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงหัวใจที่ถูกบีบรัดอยู่ในอก ดวงตาของนางมองไปยังมงกุฎที่เห็นได้ชัดว่าหักไปแล้วอันนั้น นางหลับตาลงอย่างใช้ความคิด ในที่สุดนางก็ทำการตัดสินใจในสิ่งที่ยากลำบากที่สุดลงไป!
ในเวลานั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการผู้ทรยศ เนื่องจากเพิ่งมีนักโทษคนหนึ่งพยายามหลบหนีออกไปจากคุก
คุกของแดนปีศาจยังคงยากจะฝ่าออกไปได้ดังเดิม ดังนั้นผู้ที่พยายามหลบหนีย่อมต้องทนทุกข์ทรมานจากผลของการกระทำของตัวเองอย่างแน่นอน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างมั่นคง เขามองลงไปที่ชายชุดดำซึ่งกำลังถูกสัตว์อสูรกดลงกับพื้น พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง ทางแรกคือบอกข้ามาว่าสายของเจ้าในวังปีศาจคือใคร แล้วข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังโลกมนุษย์ ทางที่สองคือถ้าเจ้าเลือกที่จะปิดปากเงียบ ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะได้ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสยิ่งกว่าความตายแน่”
ชายชุดดำไม่ได้ตั้งใจที่จะหลบหนี แต่เขารู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยเพราะไม่ได้รับข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับผนึกขับไล่วิญญาณร้ายเสียที ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงจำเป็นต้องใช้แผนสองเพื่อออกไปจากที่นี่ให้ได้!
เขาหลุบตาลงพร้อมกับข่มความเจ็บปวดที่อยู่ในน้ำเสียงของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่สัตว์อสูรผ่านไปที่วิหารขับไล่วิญญาณร้าย มันได้พาตัวหญิงผู้หนึ่งมาด้วย แทนที่จะบอกว่านางเป็นสายของข้า ภารกิจหลักของนางคือการพาท่านไปที่โลกมนุษย์ต่างหาก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตาของเขา “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อที่เจ้าพูดหรือ นางเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่คนจากวิหารขับไล่วิญญาณร้าย”
“จริงอยู่ที่นางไม่ใช่คนจากวิหารขับไล่วิญญาณร้ายของพวกเรา แต่นางรักใคร่ชื่นชมในตัวศิษย์พี่จิ่งมาโดยตลอด และนางพร้อมทำทุกอย่างเพื่อวิหารขับไล่วิญญาณร้ายเพราะศิษย์พี่จิ่งเคยพูดกับนางเอาไว้ว่า ตราบใดที่นางสามารถปกป้องเครื่องบรรณาการจากท่าน และสามารถพาท่านไปยังโลกมนุษย์ได้ เขาจะแต่งนางเป็นภรรยา” ชายชุดดำกุมแขนตัวเองด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานต่อสายตาคมกริบของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทอดสายตามองหมู่ไม้สูงชะลูดที่อยู่ไม่ไกล เขาพูดต่อโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นว่า “ต่อให้พาตัวข้าไปที่โลกมนุษย์ได้ แต่พวกเจ้าทุกคนจากวิหารขับไล่วิญญาณร้ายก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
“หากเป็นเมื่อก่อนอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกข้าได้ข่าวมาว่าเวลานี้อสูรกลืนเวหาของท่านกำลังอยู่ในระหว่างผ่านด่านเคราะห์สวรรค์ และไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้ หากท่านไม่สามารถอัญเชิญมหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของตัวเองออกมาได้ เช่นนั้นพลังอำนาจอันเหนือธรรมชาติของท่านก็ย่อมอ่อนแอลงเหมือนกัน…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ต้องการฟังต่อ มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเสแสร้ง รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “ข้าเข้าใจแล้ว”
ไม่แปลกใจเลยที่นางไม่อยากเป็นราชินีของเขา และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้นางคิดเพียงแค่จะพาเขาไปยังโลกมนุษย์
มิหนำซ้ำนางยังเคยถามเรื่องอสูรกลืนเวหากับเขาด้วย
กลายเป็นว่านางทำทุกอย่างลงไปเพราะความชื่นชมที่มีให้กับชายอื่น
ฮ่าๆ!
ความรักของมนุษย์ช่างโง่เขลาสิ้นดี
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม แต่นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเขากลับกำแน่นเข้าหากันจนขึ้นข้อขาวโดยไม่ตั้งใจ
กิเลนอัคคีส่งเสียงดังลั่นขณะยืนอยู่ข้างเขา “นายท่านขอรับ มือของท่าน!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตามสายตาของมันไปด้วยสีหน้าเย็นชาห่างเหินราวกับมองไม่เห็นนิ้วที่เปื้อนเลือดของตัวเอง เขาออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาปราศจากอารมณ์ใดๆ “ฆ่ามันซะ”
“ท่าน!” ดวงตาของชายชุดดำไหววูบ “ท่านบอกว่าจะปล่อยข้าถ้าข้าสารภาพนี่!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากพร้อมกับเลียเลือดที่เปื้อนอยู่บนนั้นออก ท่าทางของเขาดูชั่วร้ายอย่างมาก เขาดูเหมือนปีศาจที่ปรากฏตัวออกมาจากความมืดก็ไม่ปาน เขาตอบว่า “เจ้าเชื่อคำพูดของปีศาจด้วยหรือ ความโง่เขลาของเจ้าทำให้ข้าเบื่อยิ่งนัก”
ฟุ่บ!
เลือดสดๆ ร่วงหล่นราวกับกลีบดอกไม้แรกแย้ม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินอยู่บนทางเดินอาบเลือด และเดินเข้าสู่วิหารแห่งแสงสว่างที่เขาพยายามเลี่ยงมาตลอดหลายวัน เงาร่างสีดำอันสง่างามดูงดงามอย่างมากเมื่ออยู่ท่ามกลางทะเลกุหลาบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดว่าจะแก้ตัวอย่างไรหากได้พบกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่ตอนนี้เมื่อจู่ๆ เขาก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้านาง นางกลับรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก นางเดินเข้าไปหาเขา และจับมือเขาเอาไว้
คาดไม่ถึงว่าชายคนนั้นกลับไม่แม้แต่จะปรายตามองนางเลยด้วยซ้ำ ทันทีที่เขาดึงแขนออกจากนาง และกัดฟันเล็กน้อย เขาก็ถอนหายใจออกมา แต่บนใบหน้าของเขากลับยังคงมีรอยยิ้มเย้ายวนปรากฏอยู่ “เจ้าอยากให้ข้าตามเจ้ากลับไปที่โลกมนุษย์จริงๆ หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองมือของนางที่ถูกปัดออก และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ดี ดียิ่งนัก” ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นกลับถูกแช่แข็งอยู่ลึกเข้าไปในดวงตาของเขา เขาหันไปสั่งกับสัตว์อสูรที่ยืนอยู่ข้างตัวว่า “มานี่ ส่งคุณหนูเวยเวยออกไปจากแดนปีศาจซะ”