องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 594 นางกลับมาแล้ว!
ไม่เคยมีใครหนีรอดไปได้โดยไร้รอยขีดข่วนหลังจากยั่วโมโหองค์ราชา!
ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนในวังปีศาจจ้องมองไปยังชายเสื้อคลุมที่สะบัดอยู่ในอากาศนั้น
เลือดของพวกเขาสั่นสะท้านจนแทบจะพุ่งออกมาจากเส้นเลือด มันร้อนแรงเสียจนแทบแผดเผาหัวใจของพวกเขาได้เลยทีเดียว! พวกเขามองหน้ากันและกันอยู่ในท้องพระโรงที่ง่อนแง่น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งเดียวที่พวกเขามั่นใจได้ก็คือความรู้สึกแสบร้อนนี้มาจากองค์ราชาของพวกเขานี่เอง!
องค์ราชาเป็นอะไรไป
เขาดูโกรธเกรี้ยวอย่างมาก!
แต่เบื้องหลังความโกรธนั้น กลับดูเหมือนมีสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตารวมอยู่ด้วย… มันคือความโดดเดี่ยวอ้างว้างหรือ?
กิเลนอัคคีกะพริบตา ทำไมมันถึงรู้สึกว่าครั้งนี้คนที่เจ็บปวดก็คือองค์ราชา
มันคงทำพลาดไปเสียแล้ว!
โครม!
ในเวลาเดียวกันนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจะจัดการสัตว์อสูรตัวสุดท้ายที่มีหน้าที่อารักขาวิหารแห่งแสงสว่างลงได้ นางลากร่างของเขาออกไป แล้วจึงนั่งลงที่ประตูทางเข้าวังแห่งนั้นนั่นเอง
การปลอมตัวตลอดเส้นทางที่ผ่านมาทำให้นางรู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก
นางจำเป็นต้องพักหายใจเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ที่แห่งนี้ก็เป็นห้องนอนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน
นางควรใช้โอกาสนี้รีบซ่อมมงกุฎอันนั้นให้เสร็จ
แล้วหลังจากนี้นางจึงค่อยไปเผชิญหน้ากับฝ่าบาท
ในสถานการณ์เช่นนี้ การเผชิญหน้ากับเขาเป็นเพียงหนทางเดียวที่นางมี แต่นางก็กลัวว่าฝ่าบาทจะไม่เชื่อนาง
ไม่เป็นไร ถ้าเขาปฏิเสธที่จะเชื่อใจนาง นางก็ยังสามารถกอดขาเขาไว้ไม่ให้ไปไหนได้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาวและปลอบใจตัวเอง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ขาดไม่ได้ของประธานจอมเผด็จการเพื่อตามตื๊อใครสักคน นางจำเป็นต้องหน้าด้านหน้าทนเข้าไว้เมื่อเจอกับคนอย่างฝ่าบาท
สรุปสั้นๆ ว่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องพาเขากลับไป!
เฮ่อเหลียนเวยเวยลดสายตาลง พร้อมกับลากนิ้วไปทั่วมงกุฎนั้น สีหน้าของนางดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ดูนั่นสิ นั่นมันมนุษย์ที่องค์ราชาเลี้ยงเอาไว้นี่นา” ปีศาจต้วน้อยที่ผ่านมาทำจมูกฟุดฟิดทันทีที่เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย “กลิ่นของนางช่างหอมหวานยิ่งนัก ข้าชักอยากจะลองชิมดูสักคำแล้วสิ แต่ก็น่าแปลกทีเดียวที่องค์ราชายังไม่เคยลิ้มรสนางมาก่อน”
ปีศาจต้วน้อยอีกตัวเหยียดริมฝีปากอย่างดูถูก “ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่ องค์ราชาเคยเลี้ยงวิญญาณมาแล้วนับไม่ถ้วน และสุดท้ายพวกมันก็ลงเอยด้วยการจบชีวิตทั้งสิ้น มันก็แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น”
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมได้ยินบทสนทนาของพวกมัน นางรู้สึกว่าบทสนทนานี้น่าสนใจทีเดียว ดังนั้นนางจึงเอียงศีรษะเพื่อเงี่ยหูฟังพวกมัน ริมฝีปากของนางที่ยกขึ้นในบางเวลานั้นดูหล่อเหลาแต่ก็ติดจะเกียจคร้าน สายตาลึกล้ำของนางเป็นประกายราวกับดวงดาว
ปีศาจต้วน้อยทั้งสองมองมาทางนางแล้วชะงักไปครู่หนึ่งเพราะธรรมชาติของปีศาจนั้นมักจะชื่นชอบของสวยๆ งามๆ
ไม่แปลกใจเลยที่องค์ราชาเลือกจะกักขังนางไว้ แต่ก็แปลกอยู่ดีที่เขายังไม่ได้ลิ้มรสชาติของนาง
ที่แดนปีศาจแห่งนี้ จะมีก็แต่เพียงคู่ชีวิตเท่านั้นที่ได้รับการทะนุถนอม
สำหรับคนที่เป็นแค่เหยื่อแล้ว โดยปกตินั้นพวกเขาจะถูกตีตราทันที…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อสูรตัวน้อยก็หันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อเพราะเขาได้ยินมาว่าองค์ราชากำลังอารมณ์ไม่ดี
พวกเขาจำเป็นต้องรีบเตรียมขนมพวกนี้ให้เสร็จโดยเร็วแล้วไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้ถูกองค์ราชาเรียกพบแน่!
หลังจากที่ปีศาจตัวน้อยทั้งสองตนเดินออกไป ที่วิหารแห่งแสงสว่างจึงเหลือเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่เพียงคนเดียว นางพิงร่างเข้ากับประตูโดยไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเขาเห็นศีรษะเล็กๆ ที่กำลังสัปหงกอยู่นั้น สายตาของเขาก็พลันชะงักไป เขาหยุดฝีเท้าลงทันที
กิเลนอัคคีที่ยืนเครียดอยู่ข้างหลังเขามาตลอดรู้สึกโล่งใจทันทีที่เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย
ปรากฏว่าคุณหนูเวยเวยที่พวกเขาหาตัวกันให้วุ่นมาทั้งวันอยู่ที่นี่เอง
เดี๋ยวก่อนสิ!
นางไม่ได้หนีไปหรือ
นางกลับมาที่นี่อีกทำไม
แต่อย่างไรก็ดียิ่งนักที่นางกลับมา
แดนปีศาจทั้งหมดคงได้ถึงการพินาศแน่หากพวกเขาหาตัวนางไม่เจอ
กิเลนอัคคีหันหน้าไปมองสีหน้าด้านข้างของผู้เป็นนาย
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยที่หลับอยู่ลืมตาขึ้น นางเงยหน้าขึ้นและเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสวมเสื้อคลุมยืนอยู่ตรงหน้านาง ร่างของเขายิ่งดูสูงเพรียวเมื่อถูกห่อหุ้มด้วยชุดที่ผ่านการตัดเย็บมาอย่างประณีตตัวนี้ นอกจากนั้นบนร่างของเขาก็ยังมีขนสัตว์คล้ายเกล็ดหิมะที่ดูเหมือนมาจากที่ที่หนาวจัดห่มเอาไว้อีกชั้น แต่จุดที่สะดุดตาที่สุดนั้นกลับเป็นถุงมือสีดำสนิทที่อยู่บนมือของเขา ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกเย็บขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ เพราะพวกมันสวมกับนิ้วของเขาได้อย่างแนบเนียน มันดูสง่างามราวกับเป็นผิวหนังชั้นที่สองของเขาเลยก็ว่าได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปกอดขายาวของเขาเอาไว้โดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด!
กิเลนอัคคี “…..”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เข้าใจว่านางกำลังทำอะไร เขาเคลื่อนสายตาลงมองเสื้อคลุมที่มีสัญลักษณ์ของเขาอยู่บนนั้น น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ปล่อย”
เขาโกรธนางขึ้นมาอีกทั้งๆ ที่นางยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยสักคำหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยช้อนดวงตาเซื่องซึมขึ้นมองเขา และยืนกรานว่าจะไม่ยอมปล่อยมือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูสูงศักดิ์และสง่างามยามเมื่อแสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้านั้นของเขา ดวงตาของเขาลึกล้ำยากเกินเข้าใจราวกับทะเลสาบสีอำพัน “ข้าจะพูดอีกครั้ง ปล่อย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ยอมปล่อย หากดูจากนิสัยของฝ่าบาทแล้ว ถ้าเขารังเกียจนางแต่แรก เขาคงสะบัดมือนางออกไปแล้วแน่นอน
เขาไม่ได้ปัดมือนางออก ดังนั้นนางยังมีหวังอยู่!
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น “ดูสิเจ้าคะพี่หนี คำว่าหน้าด้านยังถือว่าเป็นคำชมสำหรับนางด้วยซ้ำ องค์ราชาสั่งให้นางปล่อยมือ แต่นางกลับยังเอาแต่ตอแยเขาไม่เลิก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคุ้นเคยกับเสียงของเสี่ยวขุยเป็นอย่างดี
นางหันหน้ากลับไป สายตาเย็นชาของนางทำให้เสี่ยวขุยที่พูดอยู่ถึงกับตัวสั่น
ราวกับรู้สึกได้ถึงความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสอง หนีเฟิ่งรีบตวัดสายตามองเสี่ยวขุยแล้วเอ่ยว่า “อย่าพูดจาไร้สาระ”
“ข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระเสียหน่อย” เสี่ยวขุยรู้สึกว่าในที่สุดโอกาสของนางก็มาถึง องค์ราชามักจะไม่อยู่ตอนที่นางเผชิญหน้ากับนังผู้หญิงแพศยาคนนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้องค์ราชาเกลียดชังนาง บวกกับการที่มีพี่หนีอยู่ที่นี่ด้วย นางย่อมสามารถเอาชนะเฮ่อเหลียนเวยเวยได้อย่างแน่นอน
“นางเป็นผู้หญิงป่าเถื่อนที่โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่กลับกล้ากวนใจองค์ราชาเสียได้” เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวขุยกำลังถากถางนางอยู่ “ขนาดอยู่ในแดนปีศาจนางก็ยังกล้าทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้ แล้วตอนอยู่บนโลกมนุษย์จะไม่ยิ่งกว่านี้อีกหรือ บางทีนางอาจจะมีชายคนรักอยู่แล้วก็ได้…”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาหันกลับโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปที่มือของตัวเองที่ถูกสะบัดออกอีกครั้ง หัวใจของนางชาวาบ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขา… เชื่อในคำพูดของเสี่ยวขุย
“เสี่ยวขุย หยุดพูด” หนีเฟิ่งดึงเสี่ยวขุยกลับมา แล้วจ้องหน้านางเป็นการเตือน “อย่างไรมันก็เป็นเรื่องของคุณหนูเวยเวย เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”
ทันทีที่เห็นว่าดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังจับจ้องมาทางนาง เสี่ยวขุยก็ไม่สนใจคำเตือนของหนี่เฟิ่ง แล้วเริ่มว่าร้ายเฮ่อเหลียนเวยเวยต่อ “พี่หนี ข้าไม่ได้พูดมากเกินไปเสียหน่อย ตอนที่เราพบตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยครั้งแรก นางก็อยู่ในสภาพแทบดูไม่ได้ นางอาจจะถูกทิ้งไว้ที่นั่นหลังจากมีสัมพันธ์กับศิษย์สักคนของวิหารขับไล่วิญญาณร้ายก็ได้นะเจ้าคะ”
“เจ้าช่างรู้ดีเสียจริง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูด จากนั้นจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนมากเสียจนแม้แต่ฟ้าดินก็ยังดูซีดไปในพริบตา…