องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 603 เคล็ดลับเอาใจภรรยาของเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดวงตาปกป้องของอวิ๋นปี้ลั่ว แล้วทันใดนั้นนางก็ยิ้มออกมา คิ้วของนางงดงาม น้ำเสียงของนางนุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย “ข้าหรือ ข้าก็คือว่าที่พระชายาน่ะสิ”
พรูด!
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เงาทมิฬที่ดื่มน้ำอยู่ก็ถึงกับพ่นน้ำออกมาทันที ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นนาย!
น่าเสียดายนัก! ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย็นชาอยู่เสมอดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถรู้อารมณ์ของเขาได้
แต่อวิ๋นปี้ลั่วกลับสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก และนางต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะกลับมาเยือกเย็นได้ดังเดิม “ท่านพูดเรื่องอะไรอยู่หรือ พระชายาหรือ”
“ใช่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปลูบศีรษะของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย การกระทำของนางดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก “พวกเราตกลงปลงใจกันนานแล้ว แต่องค์ชายเพียงแค่ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะแจ้งให้ทุกคนรู้ก็เท่านั้น ในเมื่อเงาทมิฬกับเจ้าเป็นคนที่อยู่ข้างกาย คงจะดีกว่าหากเราบอกเรื่องนี้ให้พวกเจ้าได้รู้ไว้ล่วงหน้า เวลานี้ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองรู้แล้ว เช่นนั้นก็ควรเตรียมใจเสีย ทิ้งความคิดอันไม่สมควรไปเสีย อย่าได้สร้างปัญหาให้กับองค์ชาย ข้าพูดถูกหรือไม่ ฝ่าบาท?”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองข้ามไหล่ตัวเองไป และใช้ดวงตาอันไร้ก้นบึ้งนั้นประสานสายตากับนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกผิดเล็กน้อยกับสายตาของเขา นางก้มลงแล้วกระซิบว่า “ร่วมมือกับข้า แล้วคืนนี้ข้าจะทำซี่โครงให้กิน”
เงาทมิฬที่ยังเด็กอยู่ไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่ฝ่าบาทไม่เคยยอมให้ใครเข้าใกล้เขา คาดไม่ถึงเลยว่า… ฝ่าบาทกลับยอมให้คนอื่นสัมผัสศีรษะของเขาได้!
แม้กระทั่งอดีตฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าจับเลยด้วยซ้ำ!
ผู้หญิงคนนี้กล้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!
นางไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะฆ่านางหรือ!
เงาทมิฬตัวน้อยงุนงงอย่างมาก หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วเพราะกลัวว่าเมื่อมาถึงจุดหนึ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยจะถูกอีกฝ่ายโจมตีจนกระเด็นไป
สีหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วเองก็ดูเหนือความคาดหมายทีเดียว สายตาของนางหยุดลงที่มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยพลางคิดถึงสิ่งต่อไปที่ฝ่าบาทจะทำ
แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ ไม่ใช่แค่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่โกรธ แต่เขากลับดึงมือของหญิงสาวลง จากนั้นจึงมองไปที่อวิ๋นปี้ลั่วและเงาทมิฬพร้อมพูดเบาๆ ว่า “ออกไปก่อน”
ทันทีที่เห็นภาพนี้ อวิ๋นปี้ลั่วก็กำมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวแน่น แต่นางไม่ได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา นางกลับเผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมาแทน “เพคะ”
เงาทมิฬรู้สึกตัวในที่สุด และตอบอย่างเคารพว่า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
จากนั้นเด็กตัวเล็กทั้งสองจึงค่อยๆ หายตัวไปจากหน้าประตูทีละคน
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว เด็กชายตัวน้อยจึงหันหลังกลับมามองมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า”
“วันหนึ่งเจ้าจะแต่งงานกับข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วลูบศีรษะของเขาอีกครั้ง “ทำไมเจ้าถึงต้องสนใจรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ด้วย”
เด็กชายตัวน้อยสูดหายใจเข้าลึก “ถ้าเจ้าแตะหัวข้าอีก ข้าจะตัดกรงเล็บของเจ้าออกซะ!”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่าองค์ชายช่างน่ารักเสียเหลือเกิน นางรู้สึกอยากพาเขากลับบ้านด้วย นางอดไม่ไหวจนต้องลูบศีรษะของเขาอีกครั้ง!
เด็กชายตัวน้อยไม่มีปฏิกิริยา
เฮ่อเหลียนเวยเวยติดใจและลูบศีรษะของเขาแรงขึ้น จากนั้นจึงเอ่ยออกมาตามตรงว่า “ตอนเด็กๆ ทำไมเจ้าถึงได้ว่าง่ายเช่นนี้ ข้าแทบนึกภาพไม่ออกเลย”
“ข้าก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเจ้ามีอะไรให้ข้าชอบ” เด็กชายตัวน้อยดึงมือของนางออก แล้วหรี่ตาลง “ลองจับดูอีกทีสิ เชื่อหรือเปล่าว่าคราวหน้าข้าจะไม่เลือกเจ้าแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้ม และหัวเราะออกมา “ชะตากำหนดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องเลือกข้า ต่อให้เจ้าเอาเรื่องนี้มาขู่ข้าไปก็ไร้ประโยชน์”
“ก็ดี” เด็กชายตัวน้อยยิ้มอย่างสบายๆ “เช่นนั้นก็รอดูแล้วกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าอย่างน้อยนางก็เป็นราชินีนักรบที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาอย่างมากมาย ดังนั้นหากว่ากันด้วยเหตุผลแล้ว มันย่อมไม่มีทางที่เด็กอายุแปดขวบจะสามารถเอาชนะนางได้
แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนางเข้าใจองค์ชายดีเกินไปหรือไม่ ดังนั้นนางจึงรู้สึกเป็นกังวลว่าอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของเด็กชาย
ตอนที่นางทำอาหารให้เขากินตอนบ่าย นางจึงเพิ่มเนื้อจำนวนหนึ่งลงไปในข้าวอบหม้อดินที่นางเตรียมเอาไว้ให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เด็กชายลอบมองนางโดยไม่พูดอะไร จากนั้นจึงก้มหน้าลงกินข้าว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเท้าคางพลางมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องหัดเชื่อเรื่องศาสตร์พยากรณ์กับเขาเสียบ้าง ข้าวอบหม้อดินอร่อยหรือเปล่า”
เด็กชายตัวน้อยกินเนื้อแล่บางกลิ่นหอมหวานนั้นแทนที่จะตอบคำถามนาง เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงยานคางว่า “นอกจากอ้างว่าข้าจะเลือกเจ้าแล้ว ศาสตร์พยากรณ์นั่นพูดถึงเรื่องอื่นบ้างหรือไม่”
ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้น “ปีนี้องค์ชายใหญ่จะสิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ”
นางรู้อยู่แล้วว่าเด็กชายคงต้องการถามเรื่องนี้
เพราะอย่างไรในเวลานี้เงาทมิฬกับอวิ๋นปี้ลั่วก็ยังแตกต่างจากคนอื่นสำหรับเขา
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาเป็นเพียงคนสองคนที่พร้อมจะเคียงข้างเขาในวังหลวงแห่งนี้
ตามนิสัยขององค์ชาย เขาย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ หากคนที่อยู่ในความดูแลของเขาถูกรังแก
แต่นางคาดไม่ถึงว่าเด็กชายตัวน้อยกลับยังสามารถหัวเราะออกมาได้ อีกทั้งยังพูดว่า “สิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อย…” ซ้ำไปซ้ำมา มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่าเขาคงวางแผนลอบสังหารองค์ชายใหญ่มาตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม และเขายังคงลังเลอยู่ว่าจะจัดการองค์ชายใหญ่ดีหรือไม่ เพราะมันไม่เหมือนกับการฆ่านางกำนัลสักคน ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็คิดว่าบางทีเขาอาจจะลองดู…
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดอยู่ที่รอยยิ้มของเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ”
“เขาเป็นคนที่เสด็จพ่อของข้าถูกตาต้องใจที่สุดในเวลานี้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตักข้าวอบหม้อดินเข้าปาก ข้าวถ้วยนี้ต่างจากที่เขาได้กินในเวลาปกติ เพราะมันทั้งอุ่นและยังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “การเล่นพรรคเล่นพวกภายในวังหลวงนับว่าเป็นข้อต้องห้ามที่สำคัญที่สุด เสด็จพ่อของเจ้าเป็นคนมีนิสัยช่างหวาดระแวงอยู่แล้ว ดังนั้นการตามใจเขามากเกินไปอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก”
นิ้วของเด็กชายตัวน้อยที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวชะงักไป แต่ใบหน้าของเขากลับดูงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางขึ้น “ข้าอ่านหนังสือเรื่องการชิงดีชิงเด่นในวังหลังมาเยอะ ดังนั้นย่อมไม่มีปัญหาแน่”
เด็กชายตัวน้อยขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“เจ้าคิดอย่างไรกับแผนนารีพิฆาตหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าเล็กๆ ของเขา “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายใหญ่แพ้ทางสตรี”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เด็กชายตัวน้อยก็กระตุกยิ้มเย็นชาออกมาทันที “ถ้าเจ้าอยากรับใช้องค์ชายใหญ่ เจ้าก็แค่บอกข้ามาตามตรง ข้าสามารถส่งตัวเจ้าไปหาเขาตอนนี้เลยก็ยังได้ แล้วจากนั้นค่อยฆ่าพวกเจ้าสองคนไปพร้อมกันซะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเด็กชายตัวน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนใช้มือของนางลูบแก้มของเขา “เจ้าหึงหรือ”
ดวงตาของเด็กชายตัวน้อยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา และเมื่อเขาอยู่ในร่างเล็กๆ นี้ มันก็ยิ่งทำให้เขาดูเย็นชาแต่กลับน่ารักน่าชัง
“อย่าหึงไปเลย เขาจะมาเทียบกับเจ้าได้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดเขา แล้วถือโอกาสนี้สารภาพว่า “เมื่อครู่นี้ข้าแวะไปดูมาแล้ว คนคนนั้นหน้าตาแย่กว่าเจ้ามากทีเดียว ถ้าให้เทียบหน้าตาละก็ ข้าย่อมต้องเลือกคนที่หน้าตาดีกว่าอยู่แล้ว”
ใช่แล้ว นางกำลังทำตามคำแนะนำจากเรื่อง ‘เคล็ดลับเอาใจภรรยา’ มาใช้ หากเราสารภาพรักทุกวัน วันละสิบครั้ง ย่อมต้องมีสักครั้งที่คนคนนั้นยอมรับรักกลับมาอย่างแน่นอน นางควรใช้โอกาสที่องค์ชายยังเด็กอยู่นี้พยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นการตามขอความรักจากเขาในตอนที่เขาโตขึ้นคงจะยิ่งเหนื่อยกว่านี้!
ใครจะรู้ว่าเด็กชายตัวน้อยจะไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว เขากลับยื่นนิ้วออกไปจิ้มหน้าผากนาง เขาผลักนางออกด้วยท่าทางเยือกเย็นและสง่างามอย่างยิ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นราวกับไม่สนใจว่า “ดูจากหน้าตาเจ้าแล้ว เจ้ายังกล้าจู้จี้เรื่องรูปลักษณ์ของผู้อื่นอีกหรือ”