องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 604 ความชั่วร้ายขององค์ชายได้รับการบ่มเพาะมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
- Home
- องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!
- บทที่ 604 ความชั่วร้ายขององค์ชายได้รับการบ่มเพาะมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ความปากร้ายนี่อีกแล้ว! หน้าตาของข้ามีอะไรผิดปกติหรือ ข้าทั้งมีเสน่ห์ สง่างาม และร่ำรวยเงินทองนะ! องค์ชายจะดูถูกคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า
ถ้านางตีเขาตอนนี้ จะมีคนกล่าวหาว่านางรังแกเด็กหรือเปล่า
“สรุปก็คือ ลืมแผนนารีพิฆาตของเจ้าไปดีกว่า” เด็กชายตัวน้อยเผยสีหน้าอวดดีออกมาพร้อมกับหันมาเผชิญหน้ากับนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าจะได้ไม่ถูกไล่ออก ข้าจะได้ไม่ต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำท่าจะพูดอะไรออกมา เด็กชายตัวน้อยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “อันที่จริงแผนนารีพิฆาตของเจ้าย่อมเปล่าประโยชน์เพราะใช้กับคู่ต่อสู้ผิดคน”
“ทำไมถึงผิดคนล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางคิดว่าองค์ชายใหญ่ชอบของสวยๆ งามๆ เสียอีก
เด็กชายตัวน้อยเหลือบมองนาง “เพราะองค์ชายใหญ่ชอบบุรุษมากกว่าสตรี”
เคร้ง!
เงาทมิฬตัวน้อยที่เดินถือจานและอาหารเย็น เข้ามาพอดีถึงกับสะดุดจนทำอาหารที่อยู่ในมือหก!
แต่เรื่องนี้ยังน่าตกใจน้อยกว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของนายท่านก่อนหน้านี้!
องค์ชายใหญ่ชื่นชอบบุรุษตั้งแต่เมื่อใด
ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
เงาทมิฬยังเด็ก แม้ว่าเขาจะซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้เป็นนาย แต่เขาก็ยังทำหน้าตาสงสัยราวกับอยากถามคำถามนั้นกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขามองอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ “ท่าน…”
“ขาของเจ้าหายดีแล้วหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ถาม เขาตัดบทเงาทมิฬโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
เงาทมิฬรู้สึกซาบซึ้งใจในทันใด แต่เขาก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหายดีแล้ว!” ฝ่าบาทอย่าเที่ยวใส่ร้ายองค์ชายใหญ่ด้วยการกล่าวว่าเขาชอบบุรุษเพราะกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ โทษนั้นร้ายแรงอย่างมากนะพ่ะย่ะค่ะ!
“ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว เช่นนั้นคราวหน้าก็อยู่ให้ห่างจากองค์ชายใหญ่เอาไว้ล่ะ ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะชอบเข้ามายุ่มย่ามกับเจ้าอยู่บ่อยๆ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางถ้วยและตะเกียบในมือลง
เงาทมิฬพยักหน้ารับคำขณะที่ดวงตาของเขาคลอหน่วงไปด้วยหยดน้ำตา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้เป็นนายจะห่วงใยเขามากถึงเพียงนี้ เขาส่งเสียงออกมาเล็กน้อย และคิดว่าเขาคงไม่อาจรู้สึกอบอุ่นใจไปมากกว่านี้ได้แล้วกระมัง เขาสัญญาว่าต่อแต่นี้ไปเขาจะปฏิบัติต่อองค์ชายให้ดีขึ้น!
แต่เงาทมิฬไม่รู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเก็บของเสร็จแล้ว และกำลังเตรียมตัวที่จะออกจากตำหนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหาเด็กชายตัวน้อย แล้วแอบกระซิบกับเขาว่า “เจ้าหมายความว่าองค์ชายใหญ่ชอบยุ่มย่ามกับเงาทมิฬตัวน้อยหรือ อย่าบอกนะว่ามันเป็นอย่างที่ข้าคิดอยู่!”
“แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก” เด็กชายตัวน้อยถามกลับอย่างเย็นชา เขาลดสายตาลงเพื่อใส่ถุงมือ จากนั้นจึงกระตุกมุมปากขึ้นเป็นเส้นโค้ง คิดจะใช้แผนนารีพิฆาตหรือ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะนำแผนนารีพิฆาตมาใช้ในครั้งนี้ได้อย่างไร!
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นท่าทางอันสุดแสนจะเป็นธรรมชาติของเขา นางจึงไม่คิดว่านี่จะเป็นอุบายของเขา ดังนั้นนางจึงถอนหายใจยาวออกมา “ดูเหมือนข้าคงต้องทบทวนแผนการรับมือกับองค์ชายใหญ่ใหม่เสียแล้ว”
“ไม่จำเป็น” เด็กชายตัวน้อยลุกขึ้นพลางมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามกับเขา จากนั้นจึงชี้นิ้วไปหานาง “ช่วงสองสามวันนี้ข้าคงยุ่งมากทีเดียว ดังนั้นเจ้าอย่าออกไปสร้างปัญหาล่ะ อยู่ให้ห่างจากเจ้าผู้ชายน่ารังเกียจนั่นไว้จะดีกว่า”
ฮะ!
น้ำเสียงนั่นมันอะไรกัน
ทำไมมันถึงฟังดูเหมือนหนุ่มอันธพาลกำลังสั่งผู้หญิงของตัวเองเลยล่ะ
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางต่างหากที่เป็นราชินีนักรบ
ยิ่งกว่านั้น หน้าตาเย็นชาและสีหน้าไม่สนใจผู้ใดของเขาสมควรถูกตียิ่งนัก!
หลังจากที่นางได้มาพบกับองค์ชายฉบับย่อส่วนคนนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกคันไม้คันมืออย่างรุนแรงมาตลอด ต้องเป็นเพราะฝีปากอันร้ายกาจของเขาแน่ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมรุนแรงของนาง!
“ทำไม เจ้ามีปัญหาหรือ” เด็กชายตัวน้อยมองนางอย่างอวดดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยโบกมือ ต่อให้นางมีปัญหา นางก็ไม่กล้าลงไม้ลงมือกับเขาจริงๆ
ช่างเถอะ เขายังเด็กอยู่ ตราบใดที่เขาไม่ได้หว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงคนไหน นางก็จะปล่อยเขาไป เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับนางตอนนี้คือการหาหนทางกำจัดอุปสรรคทั้งหมดให้กับเขา แล้วพาเขากลับไปกับนางให้เร็วที่สุดต่างหาก…
ยามค่ำคืนมาเยือน หมอกสีขาวแผ่ขยายไปในอากาศ ฤดูหนาวทางตอนเหนือในตอนกลางคืนนั้นทั้งแห้งและหนาวเย็น ทำให้คนไม่ค่อยออกมาอยู่นอกบ้านมากนัก นอกจากนั้นมันยังทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งอีกด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังเด็กอยู่ ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดนั้น
แต่แผนลอบสังหารของเขาก็ต้องถูกพับเก็บไป
ไม่ใช่เพราะเหตุใด แต่เป็นเพราะความลับที่เขาพบเข้า
เรื่องที่องค์ชายใหญ่แอบมีความสัมพันธ์กับนางกำนัลนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ประการใด
ระหว่างที่องค์ชายใหญ่กำลังสัมผัสร่างของนางกำนัลคนนั้นอยู่ จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นมาว่า “ที่รัก เจ้ารอดูก็แล้วกัน! รอจนกระทั่งข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะมอบตำแหน่งพระชายาให้เจ้าอย่างแน่นอน!”
“จริงหรือเพคะ” นางกำนัลหน้าแดง สีหน้าของนางดูเย้ายวน
องค์ชายใหญ่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาโอบกอดนางเข้าสู่อ้อมแขน แล้วพาร่างของทั้งสองหายลับเข้าหลังพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆ
นางกำนัลคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่นำอาหารเย็นชืดนั่นมาให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตลอดหลายวันที่ผ่านมานี่เอง
เด็กชายตัวน้อยมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ ริมฝีปากของเขาค่อยๆ วาดขึ้นเป็นเส้นโค้ง ช่างเป็นองค์ชายที่ปากมากเสียจริง ความตายอยู่ไม่ไกลจากเขาแล้ว…
“ฝ่าบาท”
เงาทมิฬและอวิ๋นปี้ลั่วจับตามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เดินเข้ามาหาพวกเขาแต่ไกล ความกังวลฉายขึ้นในดวงตาของทั้งสองอย่างยากจะปิดบังได้
ตอนนี้พวกเขาทุกคนเป็นเพียงแค่เด็ก ดังนั้นร่างกายของพวกเขาจึงยังไม่มีพลังปราณ อีกทั้งความคิดความอ่านก็ยังไม่ได้พัฒนามากเท่ากับตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่
พวกเขาไม่รู้ว่าฝ่าบาทออกไปไหนมากลางดึก และยังไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาทำอีกด้วย
แต่พวกเขามั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ปีที่แล้ว ทุกครั้งที่ฝ่าบาทออกไปข้างนอก ในวันรุ่งขึ้นจะมีคนตายในวังหลวง
ตอนแรกพวกเขายังไม่สามารถเชื่อมโยงมันเข้ากับฝ่าบาทได้เลยแม้แต่นิดเดียว
พวกเขาเพิ่งมาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นก็หลังจากเห็นคราบเลือดที่อยู่บนร่างของเด็กชาย
ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัดเพราะพวกเขาาถูกฮองเฮาลงโทษในวันนี้
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก พวกเขาไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาเลยหากมีใครพบตัวฝ่าบาทเข้า
โชคดีที่ดูจากสีหน้าของฝ่าบาทแล้ว คงยังไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้
เงาทมิฬเผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วรีบเดินเข้าไปหาเขา
เสื้อคลุมสีดำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปกคลุมไปด้วยหิมะ ใบหน้าเล็กๆ อันหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาสุดขีดในเวลานี้ ดวงตาของเขามีประกายแสงสีแดงวาบขึ้นเล็กน้อย มันทำให้คนที่เห็นรู้สึกฉงน
อวิ๋นปี้ลั่วยืนอยู่ข้างเขาและประพฤติตัวได้เป็นอย่างดี นางยื่นมือออกไปเพื่อจะช่วยเขาถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองนางเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นห้ามนาง “ไม่ต้อง”
อวิ๋นปี้ลั่วมองไปที่เขา นางชะงักไประหว่างเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ผู้หญิงที่ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักวันนี้คือใครหรือเพคะ ใครส่งนางมาหรือ”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น เงาทมิฬก็เงยหน้าขึ้นเพราะเขากำลังสงสัยในสิ่งเดียวกัน
อวิ๋นปี้ลั่วมีทักษะในการเลือกใช้คำพูด แม้คำพูดเหล่านั้นจะแฝงไปด้วยความสงสัยก็ตาม “นางดูเป็นคนพูดจาใจกล้ามาก และยังหน้าตาไม่เลวทีเดียว แต่ที่นี่ไม่มีอะไร ทำไมนางถึงถูกส่งมาที่นี่ล่ะเพคะ”
“นางมาที่นี่เพื่อสืบข่าวหรือพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬขมวดคิ้วเช่นกันไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปลดกระดุมเสื้อคลุม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบราวกับสายน้ำว่า “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าก็พูดไปแล้วมิใช่หรือว่าที่นี่ไม่มีอะไร แล้วนางจะหาข่าวอันใดได้จากที่นี่กัน”
“แต่องค์ชายใหญ่เริ่มสงสัยฝ่าบาทแล้วนะเพคะ อีกทั้งฮ่องเต้ก็ยังสั่งให้เขาหาหลักฐานมาให้ได้อีกด้วย ใครจะรู้เล่า บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะมาที่นี่เพื่อรวบรวมหลักก็ได้นะเพคะ” อวิ๋นปี้ลั่วแทบรักษาความเยือกเย็นของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ แต่นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียวที่นางยังสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน มิหนำซ้ำจู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังปรากฏตัวขึ้นในเวลาสำคัญเช่นนี้อีกด้วย…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ การกระทำของนางก็ดูเหมือนจะมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ผู้คนลดความระวังตัวลงจริงๆ…