องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 617 องค์หญิงตัวน้อยเวยเวย
องค์ชายใหญ่ยังพูดไม่จบ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความปิติยินดีที่อยู่บนใบหน้าของฮ่องเต้หายไป
ขันทีเกาอยากอ้าปากขึ้นเอ่ยเตือนเขา
แต่ฮ่องเต้กลับคว้ามือเขา และหยุดเขาไว้เสียก่อน ฮ่องเต้ดูเดือดดาลอย่างที่สุด เขาหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง พลางขบฟันกรอด
คนที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ทั้งสองคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
นางกำนัลนอนอยู่ในอ้อมกอดขององค์ชายใหญ่ นางเอ่ยอย่างอ่อนหวานว่า “เมื่อถึงเวลานั้นฝ่าบาทต้องไม่ลืมหม่อมฉันนะเพคะ”
“ข้าไม่มีทางลืมแน่…”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะเริ่มจู๋จี๋กันต่อ ฮ่องเต้ก็เตะตะเกียงที่อยู่ในมือขันทีไปทางพวกเขา
องค์ชายใหญ่ตกใจ เขาตะโกนขึ้นว่า “ไอ้หน้าโง่ตัวไหนที่กล้ามารบกวนข้า!”
เขามักใช้ที่ตรงนี้เป็นที่ซ่อน เพราะปกติแล้วไม่เคยมีใครกล้าเดินผ่านที่แห่งนี้ พวกเขากลัวว่าตัวเองจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น แล้วถูกองค์ชายใหญ่ลงโทษเข้า
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์ชายใหญ่รู้สึกโมโหอย่างมาก เขาดึงเสื้อขึ้นมาคลุมร่างแล้วคิดที่จะสอนบทเรียนให้กับคนคนนั้น
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลุกขึ้นยืน น้ำเสียงเย็นชาสุดขีดก็ดังก้องเข้ามาในหูเสียก่อน “ขันทีเกา ไปบอกเขาซะว่าไอ้ลูกไม่รักดีคนไหนที่มันรบกวนเขาอยู่!”
ทันทีที่องค์ชายใหญ่ได้ยินชื่อของขันทีเกา สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันที เขาพึมพำอย่างหวาดกลัวด้วยริมฝีปากที่สั่นอย่างรุนแรง “เสด็จพ่อ…”
นางกำนัลกลัวจนพูดไม่ออก นางรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว นางมองเห็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งจากชุดของฮ่องเต้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้เท่านั้น นางกำนัลคำนับครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
นางเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่ง ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่คิดที่จะปรานี เขาสั่งว่า “โยนนางลงแม่น้ำ”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หลายนายอุ้มนางขึ้น แล้วจึงโยนนางลงไปในแม่น้ำ
ซ่า!
เสียงน้ำกระเซ็นดังก้อง
องครักษ์จับนางกำนัลคนนั้นกดน้ำโดยไม่เปิดโอกาสให้นางได้ขัดขืนเลยด้วยซ้ำ นางจมน้ำตายต่อหน้าองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ตกตะลึง เขาค่อยๆ คุกเข่าลงด้วยใบหน้าอันซีดเผือด แล้วเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่…”
ฮ่องเต้กลับไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา เขาสั่งให้องครักษ์ควบคุมตัวองค์ชายลงไปในแม่น้ำเพื่อให้เขาได้สติ
แต่การลงไปในแม่น้ำตอนอากาศหนาวจัดเช่นนี้ย่อมหมายถึงความตายอันสุดแสนทรมาน
ดูเหมือนว่าครั้งนี้ฮ่องเต้จะโกรธเข้าจริงๆ เสียแล้ว
ฮ่องเต้หัวเสียอย่างมากเพราะไม่ใช่แค่เขาจะไม่ได้เห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งใจมาดูในตอนแรก แต่กลับยังบังเอิญได้ยินคำพูดเนรคุณขององค์ชายใหญ่เข้าเสียอีก
เวลานี้ฮ่องเต้ไม่หวังอะไรมากไปกว่าการทำให้เขากลายเป็นคนพิการ!
แต่อย่างไรเขาก็ยังเป็นบุตรชายคนโตที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถโหดร้ายถึงขั้นนั้นได้
องค์ชายใหญ่สวมแค่เพียงกางเกงตัวเดียวเท่านั้น ดังนั้นริมฝีปากของเขาจึงซีดเผือดและยังตัวสั่นอย่างรุนแรงตอนที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความหนาวเย็นที่กำลังทะยานขึ้นมาจากภายในใจของเขาได้
เขายังคงตกตะลึงและคิดด้วยความตื่นตระหนกว่า เสด็จพ่อมาที่นี่ได้อย่างไร ข้าพูดอะไรออกไป เสด็จพ่อได้ยินไปมากขนาดไหน
ยิ่งคิด องค์ชายใหญ่ก็ยิ่งลนลาน
ไม่! เขาต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อฟัง!
ตอนที่องค์ชายใหญ่คิดที่จะเดินขึ้นมาจากแม่น้ำ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ที่พุ่มไม้
เขาคุ้นหน้าเด็กชายคนนั้นอย่างมาก แม้เด็กคนนั้นจะตัวเล็ก แต่ก็มีความกดดันอันน่ารังเกียจแผ่ออกมาจากตัว
แน่นอนว่าพุ่มไม้หนาย่อมสามารถปิดบังร่างของเขาเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์ องครักษ์ทั้งสองนายที่พูดคุยกันอยู่ใกล้ๆ ไม่สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
องค์ชายใหญ่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาคำรามออกมาว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เขาไม่เคยคิดเลยว่าเด็กชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้
แต่สิ่งที่เด็กชายตัวน้อยพูดหลังจากนั้นกลับทำให้เขาถึงกับตัวแข็งทื่อ
“ข้าก็ต้องมาอยู่แล้วสิ ข้าอยากมาดูสีหน้าตอนท่านกำลังจะตายอย่างไรล่ะ”
องค์ชายใหญ่รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาของเขาเบิกกว้างในทันใด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พิจารณาเด็กชายตัวน้อยคนที่เขารังแกมาโดยตลอด ดวงตาขององค์ชายใหญ่ลุกท่วมไปด้วยเพลิงแห่งโทสะ เขาแผดเสียงขึ้นว่า “เป็นเจ้านี่เอง! เจ้าจงใจพาเสด็จพ่อมาที่นี่!”
“ดูเหมือนว่าท่านก็ไม่ได้โง่ไปเสียทั้งหมด” เด็กชายตัวน้อยเสริมขึ้นพร้อมกับปัดฝุ่นบนเสื้อคลุมออก “ข้ารอมาตั้งหลายวันกว่าท่านจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
องค์ชายใหญ่ไม่พอใจอย่างมากกับท่าทางขององค์ชายสาม เขากระชากองค์ชายสามเข้ามาหมายจะต่อยหน้า แต่ก่อนที่กำปั้นของเขาจะถึงร่างนั้น เด็กชายตัวน้อยก็ใช้ฝ่ามือของตัวเองรับมันเอาไว้ได้อย่างสบายๆ!
“เจ้า… เจ้า!” องค์ชายใหญ่มองเด็กชายตัวน้อยด้วยความตกใจสุดขีด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงยิ้มมุมปากออกมาอย่างเย็นชาและท้าทาย “ตอนแรกข้าก็ไม่ได้อยากจัดการท่านเร็วถึงเพียงนี้หรอก แต่ท่านข้ามเส้น และพยายามเข้ามายุ่มย่ามกับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตข้า”
“เจ้า! เจ้ามันปีศาจ!” องค์ชายใหญ่คำราม “เสด็จพ่อรู้เรื่องนี้หรือเปล่า ข้าจะไปกราบทูลเสด็จพ่อ ข้า… อ๊าก!”
ซ่า!
องค์ชายใหญ่ตกลงไปในน้ำ
เขายกมือขึ้นและตะเกียกตะกายอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาก็ไม่สามารถต่อต้านแรงกดดันมหาศาลที่มาจากร่างของเด็กชายตัวน้อยได้
“สำคัญด้วยหรือ สิ่งสำคัญคือข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายที่จะแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงในเวลาอันสั้นต่างหาก”
หลังจากเด็กชายตัวน้อยพูดจบ เขาก็ยืนขึ้นก่อนหายไปหลังพุ่มไม้
องค์ชายใหญ่ยังคงพยายามตะเกียกตะกายอยู่เช่นนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นแล้ว
ยิ่งกว่านั้น น้ำบางส่วนก็ยังเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นจึงเขาจึงไม่มีทางว่ายเข้าหาฝั่งได้
บรรดาองครักษ์ได้ยินเสียงดังจากแม่น้ำ แต่ตอนที่พวกเขาพาร่างนั้นขึ้นมาจากกระแสน้ำเย็นเฉียบ เขาก็หมดลมหายใจไปเสียแล้ว
หากเป็นในฤดูร้อน การช่วยคนจมน้ำสักคนย่อมเป็นเรื่องง่าย
แต่นี่เป็นฤดูหนาว ลำพังเพียงแค่เอาชีวิตรอดก็นับว่ายากพออยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการเอาตัวรอดจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่มีอุณหภูมิติดลบเช่นนี้
ไม่มีใครคิดว่าการลงโทษธรรมดาจะกลายเป็นสิ่งที่คร่าชีวิตขององค์ชาย
ฮ่องเต้ตกใจยิ่งนักเมื่อเขาได้ยินรายงานนี้ ความรู้สึกปวดใจและความโล่งใจถาโถมเข้าใส่เขาพร้อมกันอย่างกะทันหัน เขาแยกไม่ออกเลยว่าความรู้สึกที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในเวลานี้คือสิ่งใดกันแน่
พระสนมซูรับไม่ได้ นางเสียสติในทันที นางวิ่งไปที่ริมแม่น้ำในสภาพดูไม่ได้ แล้วจับร่างอันเย็นเฉียบขององค์ชายใหญ่ นางทั้งหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมกัน แล้วสาบานว่าจะสะสางหนี้ชีวิตนี้กับพระสนมมู่หรงให้จงได้ นางยืนกรานว่าคนจากจวนอ๋องมู่หรงเป็นผู้ที่สังหารบุตรชายของนาง
เมื่อเหตุการณ์นี้จบลง รางวัลพระราชทานที่จวนอ๋องมู่หรงได้รับมาจากฮ่องเต้จึงกลายเป็นหนามที่ทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อของพวกเขา เวลานี้พวกเขาจำต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเมื่อคิดจะทำอะไร
ไม่มีใครสงสัยว่าเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกับเด็กชายตัวน้อย ยกเว้นเฮ่อเหลียนเวยเวย
อาชีพของนางเป็นสิ่งที่หล่อหลอมกระบวนการคิดนั้น
ยิ่งกว่านั้น นางก็ยังเคยศึกษาเรื่องจิตวิทยาอาชญากรรมมาตอนยังอยู่กับสำนักถัง
ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงมีทักษะการวิเคราะห์ที่ดีมาก นางแทบจะสามารถคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เช้าวันต่อมา เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินข่าวลือบางอย่างมาจากนางกำนัลคนอื่นๆ ดวงตาของนางดำทะมึน นางสามารถเชื่อมโยงการตายขององค์ชายใหญ่เข้ากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ตามสัญชาตญาณ
เด็กชายตัวน้อยยังคงทำตัวตามปกติ เขาตื่นขึ้นตรงเวลา หลังจากขยี้ตาคู่สวยนั้นเสร็จ เขาก็ค่อยลุกขึ้นแต่งตัว ระหว่างที่เขากำลังล้างหน้าอยู่นั้น เขาก็ถามขึ้นว่า “วันนี้พวกเราจะกินอะไรกันหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองเสื้อคลุมสีดำที่แขวนอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วถามอย่างใจเย็นว่า “ฝีมือเจ้าใช่ไหม”
มือของเด็กชายชะงักไป ก่อนที่เขาจะตอบอย่างช้าๆ ว่า “เรื่องอะไรหรือ”
“องค์ชายใหญ่” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบสั้นๆ เพียงสามคำ
เด็กชายตัวน้อยกำผ้าขนหนูแน่นเหมือนกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่…