องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 620 จุดเริ่มต้นของเศษชิ้นส่วนชิ้นที่สาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักนิ้วไปครู่หนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”
“เริ่มกันเถอะ” เสียงของกิเลนอัคคีค่อยๆ เบาลง
เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า แต่งแต้มแพขนตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยจนกลายเป็นสีขาว นางยกมือขึ้นแตะใบหน้าตัวเองเบาๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่สามารถข่มความเสียใจที่นางรู้สึกอยู่ในใจเอาไว้ได้ นางซบร่างเข้ากับผนังก่อนจะไถลลงไปนั่งบนพื้น ไหล่ทั้งสองข้างของนางสั่นน้อยๆ
ลมเหนือพัดผ่านมา
คืนนั้น เด็กชายตัวน้อยรู้สึกกระสับกระส่ายมาก
เขาฝัน ในความฝันนั้นนางบอกเขาว่านางกำลังหนาว ขณะมองเขาด้วยสายตาน่าเวทนา
ในฐานะเจ้าของที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เขาย่อมไม่ควรปล่อยให้เหยื่อของตัวเองแข็งตาย
เขาจำได้ว่าเขามีเสื้อคลุมขนสัตว์อยู่ในห้องบรรทม ดังนั้นเขาจึงรีบเข้าไปยังห้องที่อยู่ด้านหลัง แต่เพราะตัวเขายังเล็กเกินไป ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนอยู่บนที่สูงได้
เขาเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ จากนั้นจึงยกเก้าอี้มาตั้งและปีนขึ้นไปบนนั้นอย่างไม่ลังเล เขายื่นนิ้วออกไปและพยายามที่จะเอื้อมมือไปให้ถึงเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวนั้น
สุดท้ายเขาก็หยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ได้
แต่ข้างกายนางกลับมีร่างที่เขาไม่รู้จักปรากฏขึ้น
ร่างนั้นรูปร่างหน้าตาเหมือนเขา แต่โตกว่า สูงกว่า และมีกล้ามเนื้อมากกว่า ผู้ชายคนนั้นใช้สองแขนโอบนางเอาไว้อย่างง่ายดาย ให้ความอบอุ่นกับนางผ่านทางอ้อมกอดของเขา
นางหยักริมฝีปาก ความอวดดีที่เคยมีหายไปจนหมดสิ้นขณะซุกอยู่ในอ้อมแขนของร่างนั้นราวกับสุนัขจิ้งจอกแสนเชื่อง
เขา เด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ในห้องที่ห่างออกไปเพียงแค่ประตูบานเดียว เขามองพวกเขาอย่างเหม่อลอยเหมือนเด็กชายเซ่อซ่าคนหนึ่ง
เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเข่าของเขามีแผลก็ตอนที่วางเสื้อคลุมขนสัตว์ลงนี่เอง
มันคงกระแทกเข้ากับตู้ตอนที่เขาปีนเก้าอี้…
ทันใดนั้นความเจ็บที่ขาก็แผ่ไปจนถึงหน้าอก ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงมากเสียจนเขารู้สึกหายใจลำบาก แต่เขาก็ยังอยากมองไปที่นาง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเกลียดที่ตัวเองอายุน้อยกว่านาง เขาเกลียดที่เขาไม่สูง ไม่แข็งแรงพอ เขาเกลียดตัวเองไปจนถึงกระดูกดำ
แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อนางไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาเลยด้วยซ้ำ
เด็กชายตัวน้อยกำเสื้อคลุมในมือแน่นแล้วถามว่า “ทำไม…”
ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงเป็นคนที่ถูกเลือก
ทำไมคนที่ถูกเลือกถึงไม่ใช่เขา
เขาถามคำถามพวกนั้นออกมาจนน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา…
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…” เป็นเงาทมิฬนั่นเอง บาดแผลขององค์ชายได้รับการทายาเรียบร้อยแล้ว และไม่ควรแตะต้อง แต่ตั้งแต่ตอนที่องค์ชายเอนกายลงนอน เขาก็ไม่อยู่นิ่งเลยแม้แต่นิดเดียว เงาทมิฬเป็นห่วงว่าเขาจะเจ็บหน้าผากอีก
ในที่สุดเด็กชายตัวน้อยก็ตื่น เมื่อเขาตระหนักได้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นจากเตียง และไอออกมาอย่างแรงสองสามครั้ง ใบหน้าของเขาแดงผิดปกติ
เขาคิดว่าบางทีถ้าเขาไปหานาง นางอาจจะสังเกตเห็นบาดแผลของเขาและจะต้องเป็นห่วงเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงวิ่งออกจากห้องทั้งอย่างนั้นโดยไม่สนใจเรื่องอื่น
แต่… บริเวณที่อยู่ข้างตำหนักของเขากลับว่างเปล่า
มือของเด็กชายตัวน้อยค้างอยู่ตรงนั้น เขากำกลอนประตูแน่นก่อนหันหน้ากลับมา “เงาทมิฬ นางอยู่ที่ไหน”
“นางหรือพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬสับสน เมื่อตระหนักได้ว่าเด็กชายกำลังพูดถึงใคร เขาจึงตอบว่า “ตั้งแต่ที่พวกท่านกลับมา นางก็ยังไม่ได้ออกมาจากห้องเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่านางคงหลับอยู่ ดังนั้นก็เลย…”
ทันใดนั้นเด็กชายก็เริ่มออกวิ่งโดยไม่รอให้เขาได้พูดจบ เขาตรงเข้าไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่งแล้วจ้องมองฮองเฮาอย่างเย็นชา “นางอยู่ที่ไหน ท่านส่งนางไปที่ไหน”
“ใคร” ฮองเฮาหรี่ตา “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้ากล้าวิ่งเข้ามาโดยไม่แจ้งก่อนเช่นนี้ได้อย่างไร! มารยาทในฐานะองค์ชายของเจ้าหายไปไหน!”
โครม!
ในชั่วพริบตา เด็กชายตัวน้อยก็ขว้างตะเกียงที่อยู่ข้างๆ ลงบนพื้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด “ในเมื่อเวลานี้นางไม่อยู่แล้ว ข้าจะมีมารยาทไปทำไม! นางอยู่ที่ไหน!”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงใครอยู่” ฮองเฮาเห็นสีแดงที่อยู่ในดวงตาของเขา นางเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย “ข้าไม่ได้ยุ่งกับข้ารับใช้ของเจ้าแม้แต่คนเดียว”
ที่จริงแล้วเด็กชายรู้ว่าฮองเฮาไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เขาเพียงแค่ต้องการเสี่ยงดวงเท่านั้น ไม่ว่าความหวังที่ว่านั่นจะน้อยเพียงใดก็ตาม
แต่ในความเป็นจริง เขากลับหาร่องรอยของนางไม่พบเลยแม้แต่นิดเดียว
เหมือนกับว่านางไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง
ความหวาดกลัวอันยากจะยับยั้งนั้นเป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่ถาโถมเข้าใส่เขา และทำให้เขากำลังจะจมน้ำตาย
เด็กชายตัวน้อยกลับไปที่ห้องของตัวเอง โลกทั้งใบเงียบสงัดจนน่ากลัว
เขามองเตียงของตัวเอง สายตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
เขายกมือขึ้นปิดตาตัวเองแล้วสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด
ภายในห้องอันว่างเปล่าเหลือแค่เขาอยู่เพียงลำพัง ข้ารับใช้ทุกคนล้วนแต่กลับมารายงานเขาว่านางจากไปแล้ว!
เด็กชายตัวน้อยกำมือแน่นจนทิ้งรอยแดงเอาไว้บนฝ่ามือตัวเอง
ตอนที่เขาค่อยๆ คลายนิ้วออก บางอย่างก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตาของเขา…
เขาไม่รู้เลยว่าเขานั่งอยู่บนพื้นนานเพียงใด
อาจจะหนึ่งชั่วยาม หรืออาจจะสอง…
สุดท้ายเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขา แล้วห้องทั้งห้องก็เริ่มสั่นสะเทือนไปพร้อมกับเสียงหัวเราะนั้น!
ร่างเล็กๆ เดินออกมาจากความมืดท่ามกลางเศษธุลีที่ปลิวอยู่ในอากาศและกรวดที่กลิ้งอยู่บนพื้น ใบหน้างดงามของเขาเปรอะไปด้วยเลือด ที่ด้านหลังของเขาคือภาพของห้องที่พังทลายลง กลุ่มควันและหิมะลอยคลุ้งไปทั่วตำหนัก…
…….
“แค่กๆๆ!” เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางก็อยู่ที่วิหารบวงสรวง
หนานกงเลี่ยในวัยเด็กมองนางอย่างสงสัย มิหนำซ้ำยังถึงขั้นใช้ไม้ค้ำในมือจิ้มใบหน้าของนางอีกด้วย เขาดูออกนอกลู่นอกทางมากทีเดียว “นี่ เจ้าเป็นผีหรือเป็นมนุษย์กันล่ะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดขมับ และเริ่มสงสัยว่ากิเลนอัคคีส่งนางมาผิดที่หรือเปล่า
“อย่าบอกนะว่านางเป็นใบ้” ใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนเยาว์ของหนานกงเลี่ยขยับเข้ามาใกล้นางทีละน้อย ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “น่าสนใจจริงๆ ข้าเพิ่งทำนายดวงชะตาให้อาเจวี๋ยก่อนออกไป พอข้ากลับมา เจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นในวงเวทพยากรณ์เสียอย่างนั้น! อย่าบอกนะว่าเจ้าคือรักแท้ที่ชะตากำหนดมาให้อาเจวี๋ย”
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินชื่อ ‘อาเจวี๋ย’ นางก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาทันที
หนานกงเลี่ยจับคางตัวเอง “หน้าตานางจัดว่าค่อนข้างดีทีเดียว แต่ทำไมนางถึงได้ดูคุ้นหน้าเช่นนี้ เหมือนพวกเราจะเคยพบกันที่ไหนมาก่อน...”
“เขาอยู่ที่ไหน” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางมือลง และเอ่ยขัดขึ้น
หนานกงเลี่ยเลิกคิ้ว “ไม่ได้เป็นใบ้ น่าเสียดายนัก อาเจวี๋ยไม่ชอบคนพูดมาก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ข้าก็ไม่ชอบคนพูดมาก เจ้าบอกข้ามาดีกว่าว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน นายน้อยเลี่ย”
“เขาหรือ อาเจวี๋ยหรือ” หนานกงเลี่ยมองนางด้วยสายตาสนุกสนาน “เจ้าจงใจมาปรากฏตัวที่นี่หรือ ความพยายามทั้งหมดของเจ้าจะต้องสูญเปล่าแน่ อาเจวี๋ยไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนนอกจากเด็กสาวจากตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้น…” หนานกงเลี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวยใกล้กว่าเดิม “เดี๋ยวก่อน เจ้าหน้าเหมือน… เจ้าแทบจะเหมือนนางอย่างกับแกะ! อย่าบอกนะว่าเจ้าคือนาง เฮ้ นี่มันชักจะตลกเกินไปแล้ว แต่ทำไมเจ้าดูโตขึ้นถึงเพียงนี้ล่ะ เจ้าไม่รู้หรือว่าอาเจวี๋ยเที่ยวตามหาตัวเจ้าไปเสียทุกที่เชียวนะ”