องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 622 การเผชิญหน้า
เด็กสาวดูเหมือนจะอายุประมาณสิบสามปี แม้ร่างกายจะโตขึ้นแล้วแต่อุปนิสัยจากในวัยเด็กนั้นยังคงเป็นเช่นเดิม
นางชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสายตาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ…”
“เดี๋ยวสิ” หนานกงเลี่ยยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าผาก แล้วชี้ไปที่เด็กสาวคนนั้น “เจ้าคือเฮ่อเหลียนเวยเวยหรือ”
เด็กสาวพยักหน้าพร้อมกับกัดริมฝีปากบางของตัวเอง นางรู้ว่าผู้บวงสรวงอัจฉริยะผู้นี้ไม่ชอบนาง แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะถามว่านางเป็นใคร องค์ชายไม่เคยเอ่ยถึงนางให้เขาได้ยินเลยหรือ
หนานกงเลี่ยสบถเสียงต่ำ “นี่มันผีหลอกชัดๆ!”
“นายน้อยเลี่ย” เงาทมิฬรู้ว่าผู้เป็นนายปฏิบัติต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยแตกต่างออกไป ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเตือนเขาว่า “ฝ่าบาทยังอยู่ที่นี่…”
“แล้วอย่างไร ข้าเพียงแค่จะถามว่า ถ้านางคือเฮ่อเหลียนเวยเวย เช่นนั้น…” หนานกงเลี่ยหันกลับมา แล้วชี้นิ้วมาทางนาง “เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้คือใครล่ะ!?”
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ถูกเรียกตัวแข็ง
จากนั้นนางก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็อยากรู้คำตอบของคำถามนั้นเหมือนกัน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย
เด็กสาวคนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น
“เจ้าคิดจะก้มหน้าอยู่เช่นนี้หรือ” ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองกลุ่มผมที่อยู่ตรงหน้า เขาก็กำราชโองการในมือแน่นจนมือซ้ายขึ้นข้อขาว
อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลงอย่างกะทันหัน และดวงตาของเขาก็เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาว ในขณะที่รอบตัวเขาล้อมรอบไปด้วยประกายจากเปลวเพลิงอันไร้ที่มา ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกหวาดกลัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านางไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป อีกทั้งยังไม่สามารถปิดบังสิ่งใดไว้ได้อีกด้วย นางจึงเหยียดหลังตรง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นแล้วส่งรอยยิ้มเกียจคร้านให้กับเขา “ข้าเอง ข้ากลับมาแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งได้เห็นใบหน้าตอนวัยรุ่นของเขาชัดๆ ก็ในตอนนี้นี่เอง
ถ้าเทียบกับตัวเขาตอนเป็นผู้ใหญ่ เขาในเวลานี้ดูสูงส่งและสะอาดบริสุทธิ์กว่ามาก เขาดูสมบูรณ์แบบไปเสียทุกส่วน ความงดงามของเขาเฉียบคมราวกับแสงเพชร แต่เขากลับมีบรรยากาศเย็นชาอยู่รอบตัว
นางไม่แน่ใจว่านางตาฝาดหรือไม่ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางเห็นดวงตาคู่สวยของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง
แต่ความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่านางเพียงแค่คิดมากเกินไป
สีหน้าที่เขาแสดงให้นางเห็นทั้งเย็นชาและห่างเหิน เขาดูเหมือนจะไม่เคยเห็นนางมาก่อน แต่นางสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงล้อเลียนที่คุ้นเคยจากเสียงของเขา “โอ้ เป็นเจ้านี่เอง”
สถานการณ์ดีกว่าที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจินตนาการไว้ นางคิดว่าเขาจะจำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้อย่างน้อยนางก็ยืนยันได้แล้วว่าเขาจำทุกอย่างในอดีตได้
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับพูดไม่ออก เขาจำทุกอย่างได้ แต่เขากลับทำเหมือนนางเป็นคนแปลกหน้า…
“อาเจวี๋ย เจ้ารู้จักนางหรือ” ยิ่งหนานกงเลี่ยมองดูภาพตรงหน้ามากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้นเท่านั้น “ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรือ ทำไมนางถึงได้หน้าตาเหมือนเฮ่อเหลียนเวยเวยเป๊ะขนาดนี้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กล่าวเพียงว่า “เวยเวย มานี่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก ตอนนั้นนางคิดว่าเขาเรียกนาง
แต่เด็กสาวอีกคนกลับเดินเข้าไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม
ขาของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังจะก้าวออกไปถึงกับแข็งอยู่กับที่
“คราวหน้าอย่าหายไปอีกล่ะ เข้าใจหรือเปล่า” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มน่าฟังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เมื่อมีความอ่อนโยนของเขาเสริมเข้าไปอีก แม้กระทั่งอากาศโดยรอบก็ดูหวานขึ้นโดยพลัน
เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง แล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวยตาโต นางดูน่ารักอย่างยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ ดูเหมือนนางจะตกใจที่ผู้หญิงอีกคนมีหน้าตาเหมือนกับตัวเองอย่างกับฝาแฝด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนตัวเองร่วงหล่นลงไปในห้องน้ำแข็ง
โชคดีที่ก่อนจะเข้ามาที่นี่ คำพูดของหนานกงเลี่ยช่วยเตรียมใจให้นางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้รู้สึกแย่มากนัก
นางคิดถึงสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางยังสามารถรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้
แม้แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังรู้สึกประทับใจตัวเองที่ไม่หันหลังแล้วเดินออกไป
มือและเท้าของนางดูเหมือนจะแข็งไปแล้ว แต่ทันทีที่เลือดของนางกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง นางก็กระตุกยิ้มให้กับคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า
นางรู้มาตลอดว่าเขาห่วงใยคนอื่นมากเพียงใด
และนางก็รู้ว่ามีเด็กสาวน้อยคนนักที่จะสามารถปฏิเสธเขาได้
“เพคะ” ความขี้อายและเชื่อฟังบนใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นเป็นสิ่งเดียวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็น
นางคิดว่าถ้าหัวใจที่แตกสลายนั้นสามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ นางก็แค่เพียงปิดหูของตัวเองเสีย จะได้ไม่ต้องเห็นหรือได้ยินมัน
แต่ในความเป็นจริงนั้นนางย่อมไม่สามารถถอยหลังได้ ยิ่งสถานการณ์ยากลำบากเพียงใด นางก็ยิ่งจำเป็นต้องเด็ดเดี่ยว
“ขอพูดตามตรงก็แล้วกัน ตัวแทนที่เจ้าพบไม่มีอะไรเหมือนกับข้าแม้แต่นิดเดียวนอกจากหน้าตา เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม และมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหยียดยิ้มราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องตลก “เจ้า… อือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมักทำอะไรไม่ธรรมดาเสมอ ไม่ว่าอย่างไรคำพูดที่ออกมาจากปากเขาก็ย่อมทำให้นางเจ็บปวดอยู่ดี ดังนั้นสู้นางไม่ฟัง แล้วจูบเขาไปเลยดีกว่า!
หนานกงเลี่ยมองภาพตรงหน้า ลมหายใจของเขาหยุดไปครู่หนึ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสับสนไปชั่วขณะ จากนั้นเขาจึงผลักนางออก เขาใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากตัวเอง แล้วมองนางอย่างเย็นชา “เจ้าสำคัญตัวผิดไปหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้มือข้างซ้ายยันตัวไว้กับพื้นเย็นเฉียบ นางรู้สึกได้แค่เพียงความเจ็บปวดและเหน็บหนาว
บางทีนางอาจจะสำคัญตัวผิดจริงๆ ก็ได้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังอยู่บนพื้น นางยกมือขึ้นนวดขมับ และหัวเราะขึ้น “มันก็แค่จูบ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบของนาง ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เย็นชาขึ้นกว่าเดิม นิ้วของเขาเริ่มเกร็งแน่น “มีแต่ผู้หญิงใจง่ายอย่างเจ้าเท่านั้นล่ะที่ถือว่าการจูบเป็นการทักทาย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็ง ผู้หญิงใจง่ายหรือ
หนานกงเลี่ยสังเกตการณ์ต่อด้วยความสนใจอย่างมาก เขามองไปที่ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความสงสัยและชื่นชม
มีคนชื่นชอบอาเจวี๋ยอยู่มากมาย แต่นางอาจจะเป็นคนเดียวบนโลกนี้ก็ได้ที่กล้าพุ่งเข้าไปจูบเขาเช่นนั้น
อีกฝ่ายคงไม่รู้จักนิสัยของอาเจวี๋ย แต่เขารู้จักมันดีเกินไป
ถ้าเขาเกลียดมันจริง นางคงโดนมากกว่าผลักออกไปแล้ว
ในความเห็นของเขา อาเจวี๋ยคงนึกไม่ถึงว่าเขาจะเสียจูบแรกไปเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงแค่กำลังหงุดหงิดอยู่เท่านั้น…
แต่บรรยากาศระหว่างทั้งสองก็ค่อนข้างประหลาดทีเดียว
อีกอย่างหนึ่ง หากดูจากสีหน้าของเงาทมิฬตัวน้อยแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอะไรมากกว่านั้นด้วย
หนานกงเลี่ยลูบคาง แล้วจมสู่ภวังค์ความคิด
เด็กสาวคนนั้นอ้าปากค้าง นางดูตกตะลึงกับการกระทำของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเห็นได้ชัด “องค์ องค์ชาย นาง…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มองไปที่เด็กสาว แต่กลับย่อตัวลงและจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเย็นชา จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเย็นชาว่า “เจ้ามันก็แค่คนไร้ตัวตน ไร้ความสำคัญ”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วหันไปออกคำสั่งกับเงาทมิฬ “คราวหน้าอย่าปล่อยให้ใครเข้ามาอีก”
หลังจากที่เงาทมิฬจ้องหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่ขยับอยู่ครู่ใหญ่ เขาจึงกลั้นใจตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
อย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น…