องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 633 ตกหลุมรักนาง (อีกครั้ง)
ทะเลสาบชิงหลงมีหมอกหนาปากคลุมไปทั่วบริเวณ
กิเลนอัคคีเคลื่อนสายตาลงมองนาง กรงเล็บสีแดงขนาดใหญ่ของมันก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าวพร้อมกับเอ่ยว่า ”คุณหนูเวยเวย…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจมัน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คำแรกที่นางพูดหลังจากเงยหน้าขึ้นกลับเป็น ”เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“กายเนื้อของเขายังอยู่ที่นี่ อีกทั้งโคมคืนวิญญาณก็ยังไม่ดับขอรับ แต่…” กิเลนอัคคีชำเลืองมองเปลวไฟที่อยู่ข้างพวกเขาแล้วเอ่ยต่อ ”นายท่านยังไม่กลับมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือทั้งสองข้างของตัวเองแน่นพร้อมกับก้มหน้าลง แล้วพูดขึ้นว่า ”เขายังไม่กลับมาหรือ เป็นไปได้อย่างไร เขาพูดไว้อย่างชัดเจนว่าเขาจะกลับมานี่นา” แม้การทำให้เขากลับมาจะต้องแลกด้วยการที่เขาเกลียดชังนางก็ตาม
กิเลนอัคคีรู้สึกผิดหวังเช่นกัน มันเอ่ยเสียงทุ้มว่า ”ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ก่อนที่จะถึงวันที่สี่สิบเก้า ในเมื่อโคมคืนวิญญาณยังไม่ดับ มันย่อมหมายความว่านายท่านคงกำลังชั่งใจอยู่ แต่ว่า…”
“เขาจะต้องกลับมาแน่!” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบท ดวงตาของนางเป็นประกายขณะพูดต่อ ”เขาเกลียดข้าถึงเพียงนั้น เขาจะไม่กลับมาได้อย่างไร คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างเขาไม่มีวันพอใจหรอกถ้าไม่ได้กลับมาทำลายข้าด้วยมือตัวเอง”
กิเลนอัคคีตกตะลึง จากนั้นเขาจึงถามว่า ”ท่านก็เลยสั่งให้ข้าเผาด้ายแดงผูกวิญญาณหรือ? ท่านทำเช่นนั้นเพราะต้องการทำให้เขาเคียดแค้นท่านอย่างมากจนบังคับให้เขาต้องกลับมาอย่างนั้นรึ”
พูดตามตรงว่ากิเลนอัคคีเองก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว มันได้เห็นคนหนุ่มหมดสิ้นเรี่ยวแรงและหญิงสาวต้องผิดหวังมานักต่อนัก และคนที่จะยอมตายเพื่อนายท่านก็แทบไม่มีเลยเช่นกัน
แต่ไม่มีใครเหมือนกับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่พร้อมสละทุกอย่างเพียงเพื่อให้นายท่านมีชีวิตอยู่ต่อ บนโลกนี้คนที่ยอมทำเช่นนี้คงมีแค่นางเพียงคนเดียวจริงๆ
แต่…
“ถ้าหลังจากที่เขากลับมา แล้วเขาเกิดเกลียดชังท่านขึ้นมาจริงๆ ล่ะขอรับ?” กิเลนอัคคีถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหม่นแสงลงครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นพวกมันก็เป็นประกายด้วยรอยยิ้ม ”เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เขาตกหลุมรักข้าอีกครั้ง อีกอย่าง ความเกลียดชังจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รักมาตั้งแต่แรก”
กิเลนอัคคีอยากเตือนนางว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ เช่นนั้นบนโลกใบนี้ก็คงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเสียดายมากมายถึงเพียงนี้
กลัวก็แต่เขาจะมีแค่เพียงความเกลียดชังให้กับนาง และไม่มีความรักหลงเหลืออยู่เลยมากกว่า…
เฮ่อเหลียนเวยเวยฉลาดยิ่งนัก นางจะมองข้ามความเป็นไปได้นี้ไปได้อย่างไร
หากมีเวลามากพอ นางคงอธิบายทุกอย่างให้เขาฟังโดยละเอียดไปแล้ว…
แต่โชคร้ายที่สถานการณ์ไม่ปล่อยให้นางได้ทำเช่นนั้น ดังนั้นครั้งนี้นางจึงต้องขอเดิมพันสักครั้ง!
ครืน!
มันแทบไม่มีเวลาให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้คิดด้วยซ้ำ
เสียงดังผิดปกติมาจากก้นทะเลสาบ
จากนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนติดต่อกันสองครั้ง เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยทรงตัวได้ นางก็หันไปมองกิเลนอัคคีแล้วถามว่า ”เกิดอะไรขึ้น”
“ชิงหลงขอรับ” กิเลนอัคคีเริ่มรู้สึกร้อนใจขณะเอ่ยว่า ”มันเป็นเช่นนี้มาหลายวันแล้ว มีใครบางคนสร้างค่ายกลอาคมขึ้นโดยมีเจตนาที่จะกำราบชิงหลงขอรับ ยิ่งกว่านั้นปราณแห่งความเคียดแค้นอันหนาแน่นพวกนี้ก็ยังส่งผลกระทบต่อมันด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงทำได้เพียงกระแทกตัวเข้ากับก้นทะเลสาบเพื่อประคองสติของตัวเองเอาไว้ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง นางไม่ได้พูดอะไรต่อ นิ้วของนางแตะลงกับพื้น ก่อนจะกระโจนลงไปในทะเลสาบลึก
“จงตื่นขึ้นขานรับนามแห่งข้า หยวนหมิง ออกมา!” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่กลางทะเลสาบ ผมสีดำของนางปลิวไสวเป็นคลื่นอยู่รอบใบหน้า เสื้อคลุมตัวยาวสะบัดอยู่รอบตัวนาง
กระแสน้ำไร้รูปร่างล้อมรอบนางเอาไว้ทั้งสองด้านราวกับกำแพงธรรมชาติ แสงสลัวแผ่ออกมาจากมันขณะที่มันแยกน้ำรอบตัวของนางออกจนเผยให้เห็นพื้นที่เปิดโล่งรอบตัว
ที่ด้านหลังของนางมีร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ ผมสีเงินของเขาเป็นราวกับแสงจันทร์ที่ล้อมกรอบใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเขาเอาไว้ สายตาที่ออกมาจากดวงตาเรียวของเขาเต็มไปด้วยเสน่ห์ชั่วร้าย ปราณแห่งความเคียดแค้นที่อยู่รอบร่างของเขาค่อยๆ หายไปราวกับไม่มีปีศาจตนใดที่จะสามารถเข้ามาใกล้เขาได้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกว่าหลังจากที่นางกลับมา หยวนหมิงดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย แต่นางไม่สามารถระบุได้ว่าเขาต่างจากเดิมที่ตรงไหน
หยวนหมิงเป็นฝ่ายที่หัวเราะขึ้นมาก่อน เขาถามนางด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายว่า ”เจ้าอัญเชิญข้าออกมาทำไมกัน”
“กลืนปราณแห่งความเคียดแค้นที่อยู่รอบทะเลสาบชิงหลงให้หมดซะ!” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลอาคมนั้นแม้แต่นิดเดียว นางจึงทุ่มทุกอย่างที่มีและไม่คิดที่จะยั้งมือ การมุทะลุเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิด อย่างไรเสียนางก็ค่อนข้างเป็นคนไร้ความเมตตาอยู่แล้ว
หยวนหมิงเลิกคิ้วขึ้นมองนางพร้อมกับตอบว่า ”ข้าต้องการให้ใครสักคนแยกน้ำออกให้เห็นก้นทะเลสาบ ข้าจะได้ชำระล้างปราณแห่งความเคียดแค้นพวกนั้นได้”
“ข้ารู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับมือข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า ”ข้าจะแยกทะเลสาบออกให้ เจ้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำก็พอ”
หยวนหมิงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงตอบด้วยน้ำเสียงซุกซนว่า ”ได้เลย”
หลังจากที่เขาพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กัดนิ้วตัวเอง นางยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าอย่างแรง สายตาของนางเย็นชาเข้าไปถึงกระดูก จากนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า ”ในนามแห่งข้า ขอสั่งการสายลมแลหมู่เมฆ จงตื่นขึ้น!”
สายลมที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นกลางฝ่ามือของนางขณะที่กระแสน้ำอันทรงพลังหมุนวนไปทั่วทะเลสาบชิงหลง เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่ยืนอยู่กลางน้ำวนอย่างไร้ความกังวล สายตาของนางโชติช่วงดั่งเปลวไฟ เสื้อคลุมของนางสะบัดขึ้นลงอยู่รอบตัว จากนั้นลำแสงหลายสายก็พุ่งออกมาจากด้านหลังของนาง ก่อนจะก่อตัวเป็นดอกบัวสีทอง!
ชิงหลงดิ้นไปมาอยู่บนผิวน้ำในตอนที่ดอกบัวสีทองดอกนั้นผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบ ทันใดนั้นบริเวณกึ่งกลางของทะเลสาบก็เริ่มยุบตัวลงราวกับถูกภูเขาขนาดมหึมากดทับเอาไว้
ในระหว่างที่มันยุบตัวลง น้ำในทะเลสาบก็แยกตัวออกจากกันโดยอัตโนมัติ ก่อนจะระเหยกลายเป็นไอ ท้ายที่สุดกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายที่ล่องลอยอยู่ในอากาศก็เริ่มละลายหายไปเหมือนกับหิมะและน้ำแข็ง
กลิ่นอายอันทรงพลังที่รุนแรงขึ้นทำให้ทั่วทั้งทะเลสาบชิงหลงสั่นสะเทือนอย่างไร้การควบคุม
ชิงหลงกระโจนขึ้นจากผิวทะเลสาบจนน้ำสาดกระเซ็นขึ้นในอากาศ หลังจากดวงตาอันขุ่นมัวของมันถูกแสงแห่งพระธรรมชำระล้างเป็นที่เรียบร้อย มันก็ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง มังกรจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ลอยอยู่เหนือทะเลสาบอย่างเงียบๆ ราวกับทารกแรกเกิดที่หลงลืมทุกสิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้มันอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยื่นมือออกไปวางลงบนศีรษะของมังกรตัวนั้น จากนั้นนางจึงลูบใบหน้าของมันพร้อมกับเอ่ยว่า ”ทำตัวดีๆ พวกเราจะรอเขากลับมาด้วยกัน”
ชิงหลงที่แปดเปื้อนด้วยปราณแห่งความเคียดแค้นไม่อาจรู้สึกถึงสิ่งใดได้อีก แม้มันจะได้รับการชำระล้างจากแสงแห่งพระธรรมไปแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถฟื้นคืนสู่ร่างเดิมอันไร้เทียมทานของตัวเองได้ เว้นก็แต่ผู้เป็นนายของมันจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ในเวลานี้ชิงหลงกลับสามารถเข้าใจคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้อย่างน่าประหลาด มันพยักหน้าพร้อมส่งเสียงออกมา
ไม่ใช่เพราะอื่นใด
แต่เป็นเพราะสิ่งที่นางพูด…
นางบอกว่าพวกเราจะรอเขากลับมาด้วยกัน
…
ท่ามกลางหมอกหนาทึบ ชายในชุดสีขาวที่ยืนอยู่กลางค่ายกลอาคมก็พลันกระอักเลือดออกมา
เด็กชายตัวน้อยหน้าตาเศร้าหมองรีบเข้าไปพยุงเขาแล้วตะโกนขึ้นว่า ”นายท่านขอรับ มันเป็นบทสวดพระพุทธเพื่อขับไล่วิญญาณร้ายนี่ขอรับ! มีใครบางคนสวดบทสวดนั้นหรือ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน บนโลกใบนี้ไม่ควรมีใครที่รู้จักบทสวดนี้นี่ขอรับ!”
“บทสวดพระพุทธขับไล่วิญญาณร้ายนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบพอ บทสวดพระพุทธที่แท้จริงไม่ควรเป็นเช่นนี้” จิ่งอู๋ซวงดูซีดเซียวยิ่งนัก เขาใช้หลังมือเช็ดเลือดออกจากมุมปากตัวเอง
แม้เขาจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็รู้สึกว่ามันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
บทสวดพระพุทธขับไล่วิญญาณร้าย…
จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีใครจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสามารถใช้มันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในตอนนั้น แม้กระทั่งหนีเฟิ่งที่มีคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมก็ยังไม่สามารถเรียนบทสวดนี้ได้แม้นางจะรู้วิธีก็ตาม
แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น บทสวดพระพุทธขับไล่วิญญาณร้ายนี้กลับปรากฏขึ้นอีกครั้งในโลกมนุษย์
ใครกันที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้
คนมีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ทางพระพุทธศาสนา แต่กลับเลือกทำสัญญากับปีศาจ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า… เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมาแล้ว
จิ่งอู๋ซวงคาดเดาอยู่ในใจ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเขาดูเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
แต่เขาก็กลับมาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว แล้วออกคำสั่งอย่างเยือกเย็นว่า ”ในเมื่อพวกเราไม่ได้กายหยาบของเขา เช่นนั้นก็มาเริ่มกันที่วังหลวงก็แล้วกัน เริ่มแผนการทำลายผนึกได้ เราจะบังคับให้ฮ่องเต้สร้างค่ายกลอาคมเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยเป็นวิญญาณเด็ก ในวังหลวงมีคนแท้งลูกมากมาย ดังนั้นเขาจึงสามารถทำทุกอย่างได้โดยง่ายเหมือนปลาในน้ำ
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ไม่มีใครรู้ว่าฮ่องเต้ในเวลานี้แตกต่างจากฮ่องเต้เมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง..