องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 646 บทลงโทษจากองค์ชาย
“เป็นเพราะเขามีเจตนาไม่เหมาะสม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วดันเฮ่อเหลียนเวยเวยออก พร้อมกับมองนางตาไม่กะพริบ ใครที่กล้ามองเหยื่อของเขาด้วยสายตาเช่นนั้นย่อมสมควรตาย
“แล้วตระกูลมู่หรงล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มรู้สึกว่าเขาดูรำคาญนางมากขึ้นทุกวัน เพราะดันร่างของนางออกทั้งๆ ที่นางแค่ถามคำถามกับเขาเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอย่างเย็นชา ”เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ เจ้าคิดว่าข้าจะไว้ชีวิตเขาเมื่อรู้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยชอบเขาหรือ ข้าไม่ใช่คนมีเมตตาถึงเพียงนั้น” การฆ่าคนหนึ่งหรือสองคนย่อมไม่แตกต่างกัน ทำไมเขาจะฆ่าพวกมันทุกคนไม่ได้เล่า ทำเช่นนั้นย่อมป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องเจอกับปัญหาที่จะตามมาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา ”อ๋อ ที่แท้ท่านก็หึงนี่เอง! ข้าสวยมากเกินไปจนท่านไม่อยากเสียข้าไปใช่หรือเปล่า” นางค้นตัวเจ้าเจ็ดที่หลับสนิทแล้วหยิบกระจกพกขึ้นมาบานหนึ่ง หลังจากเอียงซ้ายเอียงขวาส่องกระจก นางก็พยักหน้าแล้วพูดว่า ”ต้องยอมรับว่าข้าสวยมากทีเดียว”
“ข้าก็ต้องยอมรับว่าใบหน้านี้สวยเกินไปสำหรับเจ้าทีเดียว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท้าใบหน้าตัวเองด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างจิ้มแก้มของนาง ”เจ้าจะว่าอย่างไรถ้าเราทำลายมันเสีย เราจะได้ไม่มีปัญหาอีก ว่าอย่างไร”
มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปในทันใด จากนั้นนางก็ยกถ้วยของตัวเองขึ้นแล้วเริ่มลงมือกินข้าวอย่างเงียบๆ
แต่พอกินไปได้ครึ่งทาง นางก็ถามขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ไหวว่า ”แล้วฮ่องเต้ล่ะ ท่านวางแผนที่จะใช้องครักษ์เงาจัดการกับฮ่องเต้ด้วยใช่หรือเปล่า ท่านฝึกฝนพวกเขาเอาไว้ก็เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น”
“เปล่าเลย ถ้าเขาไม่ได้มุ่งมั่นที่จะลงมือกับเจ้าและสัตว์อสูรกลืนเวหา ข้าก็คงไม่สั่งให้องครักษ์เงาล้อมสวนเอาไว้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงดูสง่างามเหมือนอย่างเคยตอนคีบอาหาร ยากจะเชื่อมโยงเขาเข้ากับวิธีการชั่วร้ายต่างๆ นานาเช่นนั้นได้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังรู้สึกว่าสถานการณ์ค่อนข้างแปลกทีเดียว ”ท่านมีความอดทนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ดูไม่สมกับเป็นท่านเอาเสียเลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องนางอีกครั้ง เขาวางตะเกียบลงช้าๆ แล้วพาดแขนเข้ากับพนักเก้าอี้ของนาง เขาเอนหลังและเอ่ยอย่างอวดดีว่า ”เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่อย่างไรก็กำลังจะสิ้นลม เราย่อมไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย :… ไม่แปลกใจเลย นางถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว!
“เจ้าอิ่มแล้วหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยักเพยิดคางไปทางถ้วยของนางที่ว่างเปล่า เขาโบกมือเรียกข้ารับใช้เข้ามา แล้วสั่งให้พวกเขาพาเจ้าเจ็ดออกไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งรู้ตัวว่านางกินข้าวถ้วยที่สองหมดไปโดยไม่รู้ตัวก็ในตอนนี้นั่นเอง
นางกลายเป็นคนกินจุเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
แต่ที่น่าหงุดหงิดกว่านั้นก็คือ นางยังไม่อิ่มเลยด้วยซ้ำ!
ข้าจะกินอีกแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกตัวเองว่านางจะหยุดกินทันทีที่ข้าวถ้วยนี้หมด
แต่นางกลับไม่หยุด พอจบมื้อเย็น นางก็เริ่มอยากกินขนมและส้มเพิ่มอีก นางปอกส้มเองในระหว่างที่เลือกขนมกินไม่ได้ ดังนั้นนางจึงขอให้องค์ชายปอกให้นาง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโยนส้มให้นาง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังบอกให้นางปอกเอง
ช่างมันเถอะ อย่างไรนางก็ไม่ได้คาดหวังให้เขาอ่อนโยนกับนางอยู่แล้ว แม้จะมีความเชื่อทั่วไปว่าโดยปกติแล้วสามีหรือภรรยาของประธานจอมเผด็จการมักจะเป็นคนอ่อนโยนอย่างมาก แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่เป็นอีกครึ่งของนางทั้งหยิ่งยโสและเย็นชาเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง นางเอนตัวไปข้างๆ พร้อมกับปอกเปลือกส้มไปด้วย เป็นที่รู้กันว่านางเป็นคนเกียจคร้าน ดังนั้นหากนางได้นอน นางก็จะไม่ลุกขึ้นมาอีก เวลานี้นางกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยขนปุยที่ได้รับการออกแบบเป็นรูปดอกไม้อันประณีตและงดงาม เมื่อนางยกแขนขึ้น แขนเสื้อของนางก็ร่นลงจนเผยให้เห็นแขนเรียบเนียนของนาง เมื่อบวกกับนิสัยยามปกติของนางแล้ว มันก็ยิ่งทำให้นางดูเหมือนแมวที่นอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ ดูทั้งเย้ายวนและน่าดึงดูดยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้เลยว่าท่านอนของนางดูเย้ายวนเพียงใด นางทำเพียงแค่บ่นว่า ”ขนมดอกท้อไม่เห็นอร่อยเหมือนขนมกุ้ยฮวาเลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้มือข้างหนึ่งถอดเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนไหล่ออก จากนั้นจึงโยนมันให้สาวใช้ที่ยืนถือถาดใส่ผลไม้อยู่ข้างๆ ”เจ้าออกไปได้แล้ว ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“เพคะ” สาวใช้เหล่านั้นหลุบตาลง แล้วเดินออกไปอย่างสุภาพ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย นางชอบแบบนี้มากกว่าให้คนอื่นต้องมาคอยจับตาดูนางตลอดเวลา หลังจากจัดการส้มชิ้นสุดท้ายเสร็จ นางก็หาวออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว แต่ก่อนที่นางจะส่งเสียงออกมา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เดินเข้ามาหานางพร้อมกับโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬ
มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยค้างอยู่กลางอากาศ ยังไม่ทันที่นางจะได้ปิดปาก นางก็ถูกแขนของเขาผลักลงไปนอนอยู่บนเก้าอี้เสียก่อน
บนริมฝีปากบางของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ”ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมัดเจ้า แต่จากคำพูดที่เจ้าพูดเอาไว้ในตำหนักเฉียนชิงวันนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะชอบการถูกมัดมากทีเดียว ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเติมเต็มความปรารถนานี้ให้กับเจ้า”
ใครที่ไหนจะไปชอบถูกมัดกันเล่า! ”ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย! ท่านช่วยทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบขณะพยายามหนีอย่างสุดชีวิต
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับเอวด้านหลังของนางไว้ แล้วอุ้มนางขึ้นมานั่งบนตักของเขา น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาและฟังดูสบายๆ เช่นเดิม ”คงไม่ได้ อย่างไรข้าก็เป็นคนใจแคบและไร้มนุษยธรรม ทั้งยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและเอาใจยากอีกด้วย”
ทำไมเขาต้องเอาเรื่องนี้มาพูดด้วย! มันกลายเป็นอดีตไปแล้วมิใช่หรือ! เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดกับตัวเอง
“อยู่เฉยๆ อย่าขยับ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบาข้างหูนาง ริมฝีปากของเขาปัดผ่านใบหูของนางไปด้วย ”มัดเสร็จแล้วเจ้าจะได้สบายตัว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น ตอนที่นางรู้สึกได้ถึงอาการชาที่แล่นลงมาจากใบหู ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ใช้โซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬมัดมือของนางเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้น นางก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว…
ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว!
ชุดนอนของนางถูกเขารวบขึ้น นางรู้สึกถึงปลายนิ้วหยาบของเขาที่ลูบไล้ไปทั่วผิวของนางได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม นางแทบไม่สามารถต้านทานการเคลื่อนไหวของเขาที่รุกรานเข้ามาได้ นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ใบหูของนางร้อนผ่าว สมองของนางเหมือนกับเกล็ดหิมะที่หมุนเป็นวง ความสามารถในการคิดของนางหายไปจนหมดสิ้น ความร้อนของร่างสูงที่อยู่ด้านหลังนางพุ่งสูงขึ้นอย่ารวดเร็วจนนางรู้สึกคล้ายจะละลายไปกับความร้อนนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยรอยยิ้มออกมา เขาประทับริมฝีปากลงบนหูซ้ายสีแดงระเรื่อของนาง แล้วเลียมันด้วยลิ้นอันร้อนระอุ จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนลงมาเรื่อยๆ โดยเริ่มตั้งแต่ต้นคอขาวผ่องของนาง เขากัดมันเบาๆ แต่บางครั้งก็จะฝากรอยจูบล้ำลึกเอาไว้บนนั้น กลิ่นไม้จันทน์อันเป็นเอกลักษณ์พรั่งพรูเข้ามาในโพรงจมูกของเขา ถ้าเขาตั้งใจ เขาก็สามารถทำให้ผู้หญิงสักคนมีความสุขที่สุดได้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ขยับ โซ่เส้นนั้นจะส่งเสียงทุกครั้งที่นางขยับตัว เสียงของมันมีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์ดูเร้าอารมณ์ขึ้นเท่านั้น
จมูกของเขาสัมผัสกับจมูกของนาง รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏอยู่บนคิ้วและในดวงตาของเขา จากนั้นความร้อนที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ร้อนแรงจนผิวของเฮ่อเหลียนเวยเวยแทบไหม้
นิ้วเรียวของเขาเริ่มเคลื่อนต่ำลงมา กระแสไฟฟ้าปะทุขึ้นในทุกครั้งที่มันสัมผัสกับนางจนกระทั่งเขามาหยุดอยู่ที่จุดอ่อนไหวบนเนินอกนั้น จากนั้นเขาจึงค่อยๆ แนบฝ่ามือของตัวเองเข้ากับมัน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น กระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่างของนาง นางครางออกมาอย่างไม่รู้ตัวขณะยกมือขึ้นดันเขาออก ”อย่า–”
เขาคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจูบเข้าที่ซอกคออันเปราะบางนั้น เขาดูดมันอย่างแรงพร้อมกับใช้มืออีกข้างจับนางไว้อย่างแน่นหนา แล้วกอดนางไว้แนบอก จากที่ไหนสักแห่งด้านล่างนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่นูนขึ้นมาโดนร่างของนางอย่างกะทันหัน…