องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 649 ผู้ชายคนนี้เป็นของเวยเวย
“คนของเมืองเซวียนหยวนกล้าทำเช่นนี้เพราะจวนผู้อาวุโสของพวกเราว่างเปล่า เมื่อเป็นเรื่องของการขับไล่วิญญาณก็ไม่มีผู้ใดเป็นเสาหลักให้เราได้พึ่งพิง” หนานกงเลี่ยที่อยู่นอกวังหลวงเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม พัดขนนกแกว่งไปมาอยู่ในมือเขา ”เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังดูถูกความสามารถของท่านอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองเขาพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้างเล็กน้อย
สีหน้าเย็นชาไม่แยแสนั้นทำให้หนานกงเลี่ยตัวสั่น
หนานกงเลี่ยรีบยืนหลังตรงพร้อมกับกระแอมขึ้น แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า ”จากที่ข้าไปตรวจสอบมาวันนี้ ดูเหมือนว่าคนที่มีความสามารถในการขับไล่วิญญาณจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ผู้แทนจากเมืองเซวียนหยวนข้ามพรมแดนของพวกเรามาแล้ว เขาน่าจะมาถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ แม้พวกเขาจะอ้างว่ามาถวายความเคารพท่าน แต่ความจริงแล้วคนที่นั่นส่งหน่วยสอดแนมมาทดสอบพวกเราต่างหาก”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหนานกงเลี่ย อู่จิ้งก็โมโหขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นจึงขึ้นเสียงว่า ”ร่างของฮ่องเต้ยังไม่ทันฝัง เสียงระฆังไว้อาลัยก็เพิ่งถูกตีขึ้นเมื่อวานนี้นี่เอง! ผู้แทนของเมืองอื่นจะเป็นเช่นใดไม่รู้ แต่การที่คนจากเมืองเซวียนหยวนมาที่นี่ในเวลานี้ ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อข่มขู่เรา!”
หลิวอวี้ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า ”พวกเขาอาจจะมีแผนการเช่นนั้นจริง”
เวลานี้หลิวอวี้อดโล่งใจไปเสียไม่ได้ที่องค์ชายสามอยู่ในห้อง และเป็นผู้มีอำนาจในการประชุมครั้งนี้
ตั้งแต่นาทีที่ฮ่องเต้สวรรคตจนกระทั่งถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งวันดีด้วยซ้ำ
องค์ชายสามพลิกสถานการณ์ภายในราชสำนักได้อย่างรวดเร็วจนทุกคนต้องชื่นชม เวลานี้กรมกลาโหมทั้งหมดล้วนแต่ตกอยู่ในกำมือของเขา
ถ้าตอนนี้คนที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเป็นองค์ชายพระองค์อื่นแทนที่จะเป็นเขา พวกเขาคงไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
อย่างไรถ้าศัตรูของพวกเขาตัดสินใจที่จะโจมตีในเวลานี้แล้วละก็ บรรดาเสนาบดีที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือก็มีแนวโน้มที่จะก่อกบฏขึ้นมาเหมือนกัน
คนที่มีความสามารถมากพอที่จะปกครองพวกเขาได้อย่างเด็ดขาดมีเพียงองค์ชายสามผู้เดียวเท่านั้น…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลิวอวี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม หากมองปัญหานี้ในทางปฏิบัติแล้ว เขาจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ออกมา ”คนจากเซวียนหยวนเชี่ยวชาญด้านการขับไล่วิญญาณร้ายเป็นที่สุด ทั้งยังมีผู้อาวุโสซวีอู๋นั่งเก้าอี้เป็นผู้กุมอำนาจด้วยตัวเองอีกด้วย แต่ฝั่งเรา… เราไม่มีคนที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“จักรวรรดิจ้านหลงของเราเต็มไปด้วยคนมากความสามารถ นอกจากเจ้าพวกวัตถุโบราณที่อยู่ในจวนผู้อาวุโสแล้ว ไม่มีใครที่สามารถขับไล่วิญญาณร้ายได้อีกแล้วจริงๆ หรือ” อู่จิ้งไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาพูดต่อ ”ไม่ต้องถึงมือผู้อื่นหรอก เจ้าหันไปมององค์ชายสิ พลังปราณของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า และยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอย่างกิเลนอัคคีและชิงหลงอยู่ข้างกาย จะมีใครที่เขาเอาชนะไม่ได้ด้วยหรือ”
หลิวอวี้ส่ายหน้าพลางตอบว่า ”อู่จิ้ง ถ้าข้าบอกว่าเจ้าเป็นคนหยาบคายไร้การศึกษา เจ้าก็คงปฏิเสธ แต่ความสามารถในการขับไล่วิญญาณร้ายไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพลังปราณแต่อย่างใด จริงอยู่ที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลขององค์ชายมีพลังในการกำราบสัตว์อสูรทุกตนบนโลก แต่ถ้าหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับภูตผีและวิญญาณร้าย พวกเขาจะแยกไม่ออกว่าสถานที่ใดกันแน่ที่เผยกลิ่นอายชวนขนลุกนั้นออกมา ในเมื่อพวกเขาระบุตัวตนของภูตผีและวิญญาณร้ายไม่ได้ พวกเขาย่อมไม่รู้วิธีรับมือกับพวกมันอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรรึ” อู่จิ้งถามพร้อมกับกัดฟัน
หลิวอวี้นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ”เวลานี้พวกเราทำได้แค่เรียกตัวนักพรตจากจวนผู้อาวุโสมาเท่านั้น หวังว่าจะมีใครสักคนที่สามารถรับหน้าที่นี้ได้”
เมื่อได้ฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งสอง กิเลนอัคคีที่ซ่อนตัวอยู่ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ข้างหูของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”นายท่าน พวกเขาไม่รู้หรือขอรับว่าทันทีที่ท่านเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเองออกมา แม้กระทั่งภูตผีและวิญญาณร้ายพวกนั้นก็ยังต้องคุกเข่าลงร้องขอความเมตตาต่อหน้าท่าน”
“เมื่อวานนี้ตอนที่วังหลวงถูกโจมตี พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น” ชิงหลงตอบแทน
ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงดูสง่างามและเกียจคร้าน เขานั่งอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นรูปสลักทำจากหยก มือข้างหนึ่งยกขึ้นประคองใบหน้าด้านข้างของตัวเองไว้ ในขณะที่อีกข้างวางอยู่บนขายาวทั้งสองข้างด้วยท่าทางสบายๆ หากมองเพียงผิวเผิน เขาก็ดูเป็นคนอบอุ่นและเข้าถึงง่าย แต่หากได้ลองสังเกตใกล้ๆ แล้วละก็ ทุกคนย่อมเห็นว่าแสงที่สะท้อนออกมาจากดวงตาเรียวคู่นั้นของเขาทั้งเย็นชาและห่างเหิน…
ทูตจากเมืองเซวียนหยวนวางแผนการเดินทางเอาไว้ล่วงหน้า พวกเขามาถึงใกล้เมืองซานตงในคืนนั้นนั่นเอง ธงแนวตั้งทุกผืนมีรูปยันต์แปดเหลี่ยมประทับไว้ทั้งสองด้าน เมื่อเทียบกับคณะทูตจากเมืองอื่นๆ แล้ว ขบวนที่มาจากเมืองเซวียนหยวนนั้นแตกต่างจากพวกเขาอย่างมาก คนของพวกเขาแต่ละคนล้วนแต่งกายด้วยชุดสีขาว มีกระบี่สองเล่มไขว้กันอยู่บนหลัง เล่มหนึ่งมีใบมีดเป็นน้ำแข็ง ส่วนอีกเล่มทำด้วยไม้เนื้อแข็งจากต้นท้อ การเดินของพวกเขาเหมือนกับปรมาจารย์อมตะแห่งลัทธิเต๋า แม้คนส่วนมากของพวกเขาจะอายุยังน้อย แต่ก็เคยชินกับการเดินทางในตอนกลางคืนเป็นอย่างดี วิญญาณร้ายและสิ่งมืดมนทั้งปวงล้วนแต่พยายามอยู่ห่างและเลี่ยงที่จะใช้เส้นทางเดียวกับพวกเขา
“องค์รัชทายาท พวกเรามาถึงซานตงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เราน่าจะสามารถเข้าเมืองหลวงได้ในวันพรุ่งนี้” ชายหนุ่มชุดขาวเดินเข้ามา เขาหยุดฝีเท้าลงที่ข้างรถม้า พร้อมกับเอนตัวเข้าไปแล้วพูดด้วยความเคารพว่า ”อีกฝ่ายคงทราบถึงการมาเยือนของพวกเราแล้ว และคงเตรียมการต้อนรับไว้อย่างดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยขึ้นจากด้านในของรถม้า ”พวกเราพาคนมามากมายถึงเพียงนี้ ถ้าจักรวรรดิจ้านหลงยังไม่สังเกตเห็น เช่นนั้นเมืองของเขาก็คงถึงคราวล่มสลายแล้วจริงๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ชายคนนั้นค้อมศีรษะลง
ผู้อาวุโสซวีอู๋ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด แม้เขาจะได้ยินเช่นนั้น เขาเอ่ยขึ้นว่า ”อั้นหลิว เจ้าไม่ต้องกังวลให้มากนัก อย่างไรจักรวรรดิจ้านหลงก็ไม่ได้มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมากมายอะไร เวลานี้ผู้อาวุโสที่ข้ารู้จักล้วนแต่ถูกองค์ชายสามกำจัดไปจนหมด มิหนำซ้ำฮ่องเต้ของพวกเขาก็เพิ่งจะสวรรคตไปเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นสถานการณ์ภายในราชสำนักของพวกเขาย่อมขาดความสมดุล ตอนนี้จักรวรรดิจ้านหลงตกอยู่ในหายนะ และใกล้จะล่มสลายเต็มที พวกเขาจะเหลือแรงมาสู้กับพวกเราได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น ต่อให้พวกเขาคิดที่จะทำเช่นนั้นจริง พวกเขาก็จำเป็นต้องมีพลังในการทำเช่นนั้นเสียก่อน”
“ผู้อาวุโสซวีอู๋ ท่านพูดเช่นนั้นก็ออกจะเกินไป มีเสียงเล่าลือไปทั้งแผ่นดินว่าคนผู้นั้นเป็นถึงอัจฉริยะทางด้านวรยุทธ์ เขาคงไม่ได้แย่อย่างที่ท่านกล่าวหรอกกระมัง” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นบอกให้รู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้หญิง
ผู้อาวุโสซวีอู๋หัวเราะพร้อมกับลูบเคราขาวของตัวเองพลางเอ่ยว่า ”ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงพูดได้ถูกต้อง คนที่ทำให้ท่านถูกตาต้องใจได้ย่อมไม่ใช่ปลาธรรมดา”
“ท่านผู้อาวุโส!” ใบหนาของเด็กสาวกลายเป็นสีชมพู แม้จะมีผ้าคลุมหน้าปิดบังเอาไว้ แต่อีกฝ่ายก็ยังสามารถมองเห็นใบหน้าส่วนใหญ่ของนางได้ เห็นได้ชัดว่าคำพูดของผู้อาวุโสซวีอู๋ไม่ได้ทำให้นางโกรธ แต่ความจริงแล้วกลับทำให้นางรู้สึกเขินอายขึ้นมาต่างหาก
ชายที่นั่งอยู่กลางรถม้ามองภาพนี้พร้อมกับเม้มปาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง…
ยามราตรี ณ ห้องบรรทมอันสว่างไสวด้วยแสงไฟ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับเจ้าเจ็ดนั่งอยู่ตรงข้ามกัน คนหนึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตากิน ส่วนอีกคนก็ง่วนอยู่กับการกินเช่นกัน มันเหมือนการแข่งขันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก แม้ทั้งสองจะนั่งเผชิญหน้ากัน แต่มันก็ดูเข้ากันอย่างยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทหารรับจ้างที่รับใช้เฮ่อเหลียนเวยเวยพลันปรากฏกายขึ้นตรงหน้านาง เขาคุกเข่าลงแล้วรายงานบางอย่างให้นางฟังด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความเคารพ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง นางหาวพร้อมกับถามว่า ”เมืองเซวียนหยวนหรือ”
“ขอรับ” ทหารรับจ้างที่คุกเข่าอยู่หลุบตาลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมา จากนั้นนางจึงบิดขี้เกียจด้วยท่าทางสง่างาม แล้วกล่าวว่า ”องค์หญิงของพวกเขาไม่รู้หรือว่าคนที่นางถูกใจเป็นของของคนอื่น ข้านึกว่าป่านนี้คนทั้งแผ่นดินจะรู้แล้วเสียอีกว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นของข้า! มันยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ”
ทหารรับจ้างนายนั้น : เอ่อ… ข้ารายงานเรื่องอื่นไปตั้งมากมาย รวมถึงจุดประสงค์ของการมาเยือนทางการทูตของเมืองเซวียนหยวนด้วย พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อต่อสู้กับจักรวรรดิจ้านหลง และมันอาจนำมาซึ่งสงครามได้ด้วยซ้ำ แต่จากทั้งหมดนั้น สิ่งเดียวที่คุณหนูใหญ่รับรู้กลับมีเพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียวได้อย่างไร เขาถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
แต่องครักษ์เงาที่เดินเข้ามาพร้อมกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่วิ่งไปตามแนวกระดูกสันหลังของตัวเองได้เป็นอย่างดี เขารีบหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว อย่างไรความหมายของคำว่า ’ของ’ ที่นางพูดก็ฟังดูกำกวมยิ่งนัก