องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 653 ผู้มาเยือน (ความอัปยศ ตอนที่ 1)
“ในเมื่อการเจรจาธุรกิจไม่เป็นผล เช่นนั้นเราคงต้องทำให้องค์หญิงเซวียนหยวนล้มเลิกความตั้งใจไปเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองข้อมือตัวเองอย่างช้าๆ รอยยิ้มอันกระหายเลือดปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง จากนั้นนางจึงสั่งว่า ”ไปบอกนางว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นของใคร”
“ขอรับ” ทหารรับจ้างตอบเสียงเบาพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จริงๆ แล้วท่านอยากทำเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือเปล่าขอรับ เรื่องไร้สาระอย่างการเรียกเก็บเงินอะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น ท่านก็แค่ไม่อยากให้ใครปรารถนาในตัวองค์ชายสาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมรับความจริงข้อนี้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เชื่อว่าเศษชิ้นส่วนวิญญาณที่นางตรากตรำนำมันกลับมาด้วยความยากลำบากผ่านการข้ามเวลาทุกชิ้นควรที่จะเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว คนอื่นสามารถแอบมองและชื่นชมเขาได้ แต่การท้าทายนางอย่างเปิดเฉยเช่นนี้นับว่าโง่เขลาเสียจริง คนพวกนั้นคิดว่าข้าเป็นเหยื่อที่พวกเขาจะรังแกได้ง่ายๆ หรือ
ทหารรับจ้างยังอยู่ที่นั่น เมื่อเขาได้เห็นความเย็นชาชั่วร้ายที่อยู่ในดวงตาของนาง เขาก็สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยงคืนนี้ ดังนั้นเขาจึงถามว่า ”เราควรสั่งให้แม่ทัพมารวมตัวกันที่นี่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่จำเป็น ลงมือคนเดียวถึงจะเรียกว่าเป็นการปลิดชีพในดาบเดียว คนกลุ่มหนึ่งย่อมไม่สามารถแสดงพลังของข้าได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยโบกมือปฏิเสธข้อเสนอนั้น
มุมปากของทหารรับจ้างกระตุก ท่านเคยพูดไว้มิใช่หรือว่าท่านชอบให้ฝั่งตัวเองมีคนมากกว่าฝั่งศัตรู เพราะท่านจะได้รังแกพวกเขาได้โดยง่าย ดูสิว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่กำลังทำตัวราวกับวีรบุรุษอยู่
“เสี่ยวเฮย อย่าได้บอกใครเชียวนะว่าเจ้านายของเจ้าไม่เคยสอนเรื่องนี้ให้เจ้ามาก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้เขา แล้วพูดต่อ ”เวลาเจ้าไล่ตามขอความรักจากใคร สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้ตัวเองดูดีอยู่เสมอ พวกเจ้าจะขโมยแสงไฟไปจากข้า แล้วไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็จะไม่มีวันรู้ว่าข้าดูดีเพียงใด”
ทหารรับจ้าง : …
ท่านคิดว่าองค์ชายสามตาบอดหรือ
อีกอย่าง อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวเฮยจะได้ไหม! เลิกตั้งชื่อเล่นให้คนไปทั่วเสียทีเถิดขอรับ!
“ถ้าเจ้ามีเวลามาสอนเรื่องไร้สาระให้กับลูกน้องตัวเอง ทำไมเจ้าไม่เอาเวลาไปทำตัวให้เชื่อฟังกว่านี้ตอนที่อยู่บนเตียงล่ะ” หัวข้อสนทนาของพวกนางเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คว้าปลอกคอของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้น แล้วดึงนางออกจากหน้าต่าง น้ำเสียงน่าดึงดูดของเขาติดจะไม่พอใจในตอนที่พูดว่า ”ข้างนอกหิมะตก เจ้าไม่หนาวหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับหน้าตัวเอง นางรู้สึกว่ามันยังปกติ และไม่ได้หนาวถึงเพียงนั้น จากนั้นนางก็เอ่ยว่า ”ท่านดูถูกวิธีเอาชนะใจคนของข้าได้อย่างไร พวกมันล้วนแต่เป็นวิธีขั้นเทพทั้งนั้น”
ชายหนุ่มดูไม่สนใจที่นางพูดอย่างเห็นได้ชัด เขาจับมือนางแล้วสอดมันเข้าไปในเสื้อตัวในของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยร้องลั่น ”ยังกลางวันแสกๆ อยู่แท้ๆ ท่านกลับเอาแต่คิดทะลึ่งอยู่ได้”
“ถ้าเจ้าร้องออกมาอีกที ข้าจะโยนเจ้าออกไปข้างนอกซะ” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราบเรียบอย่างมาก แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การขู่
เมื่อนางสังเกตเห็นสายตาเย็นชาของเขาที่จ้องมองมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยุดดิ้น แล้วปล่อยให้มือของนางทาบอยู่บนแผ่นอกของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งฝ่ามือของนางก็เริ่มอุ่นขึ้น เช่นเดียวกันกับหัวใจของนาง
บรรดาขันทีนางกำนัลที่รออยู่ด้านนอกล้วนแต่ได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยสายตาตัวเอง พวกเขาก้มหน้า ทั้งยังรู้สึกประทับใจและอิจฉาไปพร้อมกัน
คนคนเดียวที่สามารถทำให้องค์ชายสามทำเช่นนี้ได้มีเพียงแค่พระชายา
แต่องค์ชายกลับทำเหมือนพระชายาเป็นเด็กตัวเล็กๆ และเจ้ากี้เจ้าการกับนางเกินไป ไม่มีใครรู้ว่านี่นับเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาเรียวรีของเขาดูข่มขู่ราวกับเป็นการเตือน ”ถ้าข้าจับได้ว่าเจ้าออกไปยืนอยู่ข้างหน้าต่างโดยไม่สวมเสื้อคลุมอีกละก็ ข้าจะหักกรงเล็บของเจ้าทิ้งเสีย”
“รู้แล้วน่า ข้าก็แค่คุยกับเสี่ยวเฮยเท่านั้นเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยแก้ตัวพร้อมกับหดมือกลับมา นางเอ่ยขึ้นว่า ”อย่าให้อากาศเย็นเช่นนี้แช่แข็งท่านไปด้วยล่ะ เรามีเตาอุ่นมือหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินดังนี้ ชิงจ้านก็วางเตาอุ่นมือลงข้างๆ คนทั้งสองอย่างรวดเร็ว
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่ได้ยื่นมือออกไปหามัน เขากลับจับข้อมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้แนบอก เขายอมปล่อยมือออกก็ตอนที่พวกมันอุ่นขึ้นแล้ว จากนั้นเขาจึงหันไปสั่งคนที่อยู่นอกห้องว่า ”ไปที่งานเลี้ยง”
“พ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาขานรับคำสั่งนั้นเป็นเสียงเดียวกัน
ตุ้บ…
หิมะที่ทับกันอยู่บนต้นไม้ตกลงมากระทบกับหลังคากระเบื้องสีทอง
วังหลวงได้รับการตกแต่งอย่างตระการตาด้วยของประดับล้ำค่า หินอ่อนส่องประกายระยิบระยับยามเมื่อต้องแสงแดด ให้ความรู้สึกลึกลับและเป็นพิธีการ
ทั้งหมดนี้มีไว้ให้กับคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร หรือก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่นเอง
หากเทียบกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ผลาญเวลาหลายปีไปกับการเสวยยาอายุวัฒนะแล้ว เขาดูมีบรรยากาศแห่งความเป็นราชามากกว่า ทั้งสง่างาม โหดเหี้ยม ไม่แยแสต่อสิ่งใด และชั่วร้ายยิ่งนัก
แม้จะอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวยาว แต่ทุกคนก็ยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังแกร่งกับกล้ามเนื้ออันแข็งแรงและงดงามของเขาได้อย่างชัดเจน
บรรยากาศราวกับขุนนางในยุคโบราณที่ทั้งเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์แผ่ออกมาจากตัวเขา พวกมันล้วนแต่เป็นความสง่างามที่เขาสั่งสมมาตลอดหลายปีจนกระทั่งถึงตอนนี้
เบื้องหน้านั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเย็นชาไม่แยแส แต่บรรยากาศอันยากจะต้านทานนั้นกลับแพร่ไปทั่วตัวเขาทันทีที่เขาเผยรอยยิ้มออกมา ความแข็งแกร่งที่ถูกสลักลงบนใบหน้างดงามนั้นทำให้ดูเหมือนกับว่าเขาเกิดมาเพื่อปกครองนรกก็ไม่ปาน
เขานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรพลางใช้มือข้างหนึ่งหมุนถ้วยเล่นอย่างไม่ใส่ใจ เขาดูมีเสน่ห์อย่างยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียน
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ลงเมื่อเขาได้ยินว่าทูตจากเมืองหวงจื่อและเมืองหยวนจงมาถึงแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้ละสายตาออกจากถ้วย แต่กลับยกมันขึ้นมาใกล้จมูกแล้วสูดกลิ่นของมัน
นักพรตจำนวนหนึ่งเดินตามหลังคณะทูตเข้ามา และเมื่อพวกเขาเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พวกเขาต่างก็พากันเย้ยหยันอีกฝ่ายขึ้นมาในใจ พวกเขาเชื่อว่าองค์ชายสามคงยังไม่รู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเขาจึงยังทำตัวประมาทเลินเล่อได้ถึงเพียงนี้ จากที่พวกเขาคิดนั้น หนทางเดียวที่จักรวรรดิจ้านหลงจะสามารถอยู่รอดได้มีเพียงแค่การอภิเษกสมรสเท่านั้น มิฉะนั้นต่อให้พวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ทุกสิ่งย่อมถึงการสิ้นสุดทันทีหากปัญหาในวันนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม…
“กระหม่อม ทูตจากเมืองหวงจื่อ”
“กระหม่อม ทูตจากเมืองหยวนจง”
“คารวะองค์ชายสาม!”
ทูตทั้งสองยกมือซ้ายขึ้นแนบกับไหล่ขวาด้วยท่าทางนอบน้อม แต่ภายใต้หน้ากากนั้นกลับแฝงไปด้วยความเสแสร้ง
สำหรับพวกเขาแล้ว จะมีก็แต่เพียงองค์ชายห้าแห่งจักรวรรดิจ้านหลงเท่านั้นที่สามารถเข้าใจเรื่องราวการเมืองและราชสำนักได้อย่างแท้จริง
ถ้าฮ่องเต้ของจักรวรรดิจ้านหลงไม่ได้เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันเช่นนี้ มีหรือที่โอกาสนี้จะร่วงลงมาใส่ตักขององค์ชายสาม
ตอนแรกพวกเขารู้สึกกังวลกับฐานะอันยิ่งใหญ่เทียมฟ้าของเขา แต่เวลานี้กลับดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรให้พวกเขาต้องกังวลแต่อย่างใด
พลังปราณและการขับไล่วิญญาณร้ายเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในราชสำนักอีกด้วย
หากในเวลานี้คนที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์ชายห้า ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นนี้ เขาย่อมสุภาพอ่อนน้อมกับพวกเขาอย่างที่สุด และย่อมปฏิบัติราวกับว่าพวกเขาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ
การสวรรคตของฮ่องเต้พระองค์ก่อนทำให้ราชสำนักขาดความสมดุล และแน่นอนว่าการทำให้เมืองใกล้เคียงโกรธเคืองย่อมเป็นการเดินหมากที่เลวร้ายอย่างมาก
แม้จักรวรรดิจ้านหลงในปัจจุบันจะยังดูเหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ แต่ภายใต้ภาพมายาแห่งความผาสุกนี้จะต้องมีปัญหาบางประการกำลังก่อตัวขึ้นอย่างแน่นอน
ความคิดของเหล่าเสนาบดีก็เป็นปัญหาหนึ่ง ส่วนบรรดาแม่ทัพที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือก็นับว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
องค์ชายสามคงยังตระหนักถึงเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเขายังทำตัวชะล่าใจเช่นนี้
ทันทีที่คนจากเมืองเซวียนหยวนมาถึง องค์ชายสามจะตระหนักได้ว่าการมาเยือนในวันนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างในอดีต!
ขันทีและนางกำนัลพาคณะทูตไปนั่งยังที่นั่งของตน ทั้งสองลอบมองตากัน รอยยิ้มแฝงด้วยการดูถูกที่มีแค่เพียงพวกเขาเข้านั้นที่เข้าใจฉายอยู่ในนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเหตุการณ์นี้จากด้านหลังตรงที่นางนั่งอยู่ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วเคาะนิ้วลงกับที่เท้าแขนของเก้าอี้ตัวนั้น ท่าทางเกียจคร้านของนางเผยบรรยากาศซุกซนออกมาอย่างมาก…