องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 654 พระชายาเวยเวย (ความอัปยศ ตอนที่ 2)
เมื่อบรรดาเสนาบดีหัวโบราณทั้งหลายสังเกตเห็นท่าทางขององค์ชาย พวกเขาก็รู้สึกกังวลใจอย่างมาก พวกเขาพยายามเค้นสมองชวนผู้แทนทั้งสองคุยเพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองรู้สึกไม่พอใจไปมากกว่านี้ หนึ่งในนั้นยกถ้วยของตัวเองขึ้นแล้วเอ่ยว่า ”ท่านทั้งสองเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยใช่หรือเปล่า”
“ไม่ได้เหนื่อยถึงเพียงนั้น แต่เมืองหลวงกลับไม่ได้ครึกครื้นเหมือนอย่างที่คนเขาเล่าลือกัน ตอนที่พวกเราเข้ามาในเมือง ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีพ่อค้าเร่มากนัก” ทูตยิ้มอย่างเสียดสี เห็นได้ชัดว่าเขากำลังดูถูกจักรวรรดิจ้านหลงอยู่อย่างอ้อมๆ ด้วยการบอกว่ามันไม่ได้ยิ่งใหญ่ตามที่ลือ
เหล่าเสนาบดีย่อมเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็กลัวจะทำลายสันติสุขหากโต้ตอบกลับไป ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ยิ้มและแสร้งทำเหมือนไม่เข้าใจเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาเพียงยิ้มออกมา แล้วดื่มเหล้าองุ่นจากถ้วยของตัวเอง จากนั้นจึงเหลือบมองไปทางเสนาบดีคนหนึ่ง
จู่ๆ เสนาบดีคนนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง
“ในเมื่อใต้เท้าเก๋อไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล่นกับถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวในมือตัวเอง แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า ”เช่นนั้นก็คงไม่มีความจำเป็นให้เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้อีก พาตัวไป”
คำพูดสามคำสุดท้ายทำให้ท้องพระโรงจมสู่ความหนาวเย็น
นักการทูตทั้งสองคนตกตะลึง พวกเขาลืมสิ่งที่ตัวเองควรพูดและสิ่งที่ควรทำต่อจากนี้ไปเสียสนิท
ใต้เท้าเก๋อยังไม่ทันได้รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ เขาก็ถูกองครักษ์เงาที่ปรากฏตัวขึ้นคว้าหมวกขนนกที่อยู่บนศีรษะออก เขาจึงส่งเสียงร้องขึ้นว่า ”องค์ชาย องค์ชาย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ประหลาดใจกับผลลัพธ์เมื่อนางได้ยินเรื่องนั้น ทูตสองคนนั้นมีเจตนาร้าย แต่ใต้เท้าเก๋อกลับพยายามประจบเอาใจพวกเขา เรื่องนี้ถือว่าเป็นการสร้างความอับอายให้กับจักรวรรดิจ้านหลง องค์ชายย่อมเอาชีวิตเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่บนใบหน้าของเขากลับยังมีรอยยิ้มต้อนรับค้างอยู่เช่นนั้น ราวกับการพรากชีวิตของใครสักคนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาแต่อย่างใด
ทูตทั้งสองจับต้นชนปลายไม่ถูก พวกเขาคิดกับตัวเองว่า ทำไมองค์ชายสามถึงทำอะไรแปลกเช่นนี้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังตระหนักถึงเจตนาร้ายที่ซ่อนอยู่ไม่ได้ พวกเขาจึงหัวเราะร่วนพร้อมกับเอ่ยว่า ”คงเป็นเพราะปัญหาเรื่องผนึกที่พวกเขาไม่สามารถแก้ได้กระมัง เมืองหลวงจึงได้ดูร้างผู้คนเช่นนี้”
หลิวอวี้เห็นว่าบทสนทนาชักฟังดูไม่เข้าที ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสีด้วยความโกรธ ทุกอย่างเป็นเพราะใต้เท้าเก๋อ เมื่อกี้เขาทำให้พวกเขาเสียเปรียบ และทำให้คู่ต่อสู้นำหน้าไปก้าวหนึ่ง
ทูตทั้งสองหัวเราะเสียงดัง และกำลังจะพูดอะไรขึ้น
แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า ”เจ้าเจ็ด บอกพวกเขาทีสิว่าทำไมเวลานี้บนถนนหนทางในเมืองหลวงจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก”
เมื่อเหล่าเสนาบดีได้ยินดังนั้น พวกเขาก็หันหน้าไปมองยังต้นเสียงทันที เฮ่อเหลียนเวยเวยเท้าคางอยู่ตรงนั้น นางยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้านพร้อมกับดวงตาดำทะมึน
เด็กชายตัวน้อยถือซาลาเปาเนื้อเอาไว้ในมือพลางตอบอย่างเป็นธรรมชาติว่า ”อากาศหนาวเช่นนี้ใครจะยังอยู่ข้างนอกได้ล่ะขอรับ พวกเขาล้วนแต่ทำการค้ากันอยู่ในหอน้ำชาต่างหาก เรื่องง่ายๆ เช่นนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้หรือขอรับ เสียเวลาพวกเราจริงๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รีบแสร้งทำเป็นดุคนตัวเล็ก นางเอ่ยว่า ”เจ้าเจ็ด ข้าสอนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าดูถูกเมืองอื่นเพียงเพราะพวกเขาเป็นเมืองเล็กกว่า อ่อนแอกว่า และด้อยความรู้กว่าเรา เราควรหัดใจกว้างให้มากกว่านี้”
“ข้ารูปหล่อและใจกว้างอยู่แล้วขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพยักหน้าตอบ เขาดูว่าง่ายยิ่งนักระหว่างที่กล่าวว่า ”ข้าจะไม่ล้อพวกเขาขอรับ”
ทูตทั้งสองพูดไม่ออกเพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
คนพวกนี้อ้างว่าตัวเองเป็นคนใจกว้างด้วยการบอกว่าเมืองของพวกเราเป็นเมืองเล็กๆ และอ่อนแอหรือ
พวกเขากำลังดูถูกพวกเราทางอ้อมอยู่มิใช่หรือ
แต่พวกเขากลับยังบอกว่าไม่ได้ล้อเลียนเราอย่างนั้นหรือ!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนโมโหจนแทบจะลุกขึ้นยืน
ทูตทั้งสองห้ามพวกเขาเอาไว้ก่อน และสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า ”อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”
“เราจะปล่อยให้พวกเขาพูดเช่นนั้นตามอำเภอใจหรือขอรับ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายโกรธจนควันออกหูเพราะพวกเขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากใครมาก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองภาพนั้นจากจุดที่สูงที่สุด นางหัวเราะเสียงเบาพลางถามอย่างเสียดสีว่า ”ทูตทั้งสองเป็นอะไรไปหรือ ทำไมทุกคนถึงจะยืนขึ้นล่ะ”
เหล่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกัดฟันกรอดอย่างเดือดดาล แล้วคิดกับตัวเองว่า เห็นไหม! ท่านเห็นแล้วนี่ว่าเป็นอย่างไร! ผู้หญิงคนนี้มาจากไหน นางกล้าพูดจากวนประสาทเช่นนี้ได้อย่างไร!
“มีปัญหาอะไรกับสิ่งที่เจ้าเจ็ดพูดไปเมื่อครู่นี้อย่างนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างมือขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า ”เขายังเด็กและไร้เดียงสา เมืองของพวกท่านรับมือกับทุกปัญหาด้วยการใช้ขันติ พวกท่านคงไม่คิดที่จะโต้เถียงกับเด็กเพียงคนเดียวหรอกใช่ไหม”
“ไม่ ไม่มีทางอยู่แล้ว!” ทูตทั้งสองเอ่ยขึ้นเสียงลอดไรฟัน
แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเหล่านั้นกลับไม่คิดที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
ทูตตำหนิพวกเขาเบาๆ ว่า ”เจ้าคิดจะหาเรื่องกับเด็กจริงๆ หรือ พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือว่านางจงใจใช้คำว่า ’ขันติ’ กับเรา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คนที่จะต้องขายหน้าก็คือพวกเราเอง!”
มือของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกำแน่น แต่พวกเขาทำได้เพียงแค่นั่งกลับลงไปด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก
ผู้แทนทั้งสองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เดิมทีนั้นพวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อดูถูกอีกฝ่าย แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสุดท้ายฝ่ายที่โดนดูถูกจะเป็นพวกเขาเอง!
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะยังไม่จบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหนึ่งในผู้ขับไล่วิญญาณร้าย และถามขึ้นว่า ”เมื่อครู่นี้เจ้าจ้องหน้าเจ้าเจ็ดของพวกข้าหรือ”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นทำเป็นไม่ได้ยินนาง เขาแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดยิ้มอย่างช้าๆ จากนั้นจึงบอกว่า ”ขอโทษเขาเสีย”
“ท่านว่าอะไรนะ…”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นกำลังจะขึ้นเสียงใส่เฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางกลับขัดเขาขึ้นเสียก่อน ”ใต้เท้าหวัง ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนี้เป็นพลเมืองของเมืองหวงจื่อ เมืองของท่านไม่ได้อบรมเขาหรือว่าเขาควรจะแสดงกิริยามารยาทให้เหมาะสมเมื่อพบคนที่มีฐานะต่างจากเขา เจ้าเจ็ดเป็นองค์ชายลำดับที่เจ็ดของจักรวรรดิจ้านหลง ดังนั้นฐานะของเขาย่อมสูงกว่าเขามาก แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนี้กลับทำตัวยโสโอหังยิ่งนัก คนที่ไม่ประพฤติตัวตามกฎระเบียบในจักรวรรดิจ้านหลงย่อมมีจุดจบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ… ความตาย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดคำสุดท้ายออกมาด้วยรอยยิ้ม
ทูตจากเมืองหวงจื่อตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
ดวงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่ออย่างไม่แยแสว่า ”แน่นอนว่ากฎระเบียบในแต่ละเมืองย่อมมีความแตกต่างกัน ในเมื่อท่านมาที่นี่ในฐานะแขก ข้าจึงไม่รู้ว่าเมืองของท่านอบรมสั่งสอนพลเมืองของตัวเองเช่นใด แต่อย่างน้อยประชาชนในจักรวรรดิจ้านหลงก็ไม่รังแกเด็ก”
ทูตคนนั้นตอบว่า ”เมืองหวงจื่อของเราก็ไม่…”
“เจ้าเจ็ดของพวกข้าเป็นคนขี้กลัว ช่วยไม่ได้ถ้าเขาจะรู้สึกกลัวพวกท่าน” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะฟังเขา หลังจากที่นางพูดจบ นางก็เหลือบมองไปทางเด็กชายตัวน้อย
เด็กชายตัวน้อยก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วพลางใช้มือเล็กๆ นั้นขยี้ตาตัวเอง ไหล่ของเขาเริ่มสั่นน้อยๆ ท่าทางราวกับว่า ‘โลกทั้งใบทำร้ายข้า’ ของเขาดูน่าสงสารทีเดียว
ดวงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเบิกกว้าง เมื่อ.. เมื่อครู่นี้เด็กคนนี้ยังไม่เห็นกลัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจะเปลี่ยนสีหน้าเร็วเกินไปแล้ว!
“เฮ้อ ดูเหมือนเขาจะร้องไห้เสียแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาว แล้วอุ้มเด็กชายขึ้นพร้อมกับปลอบเขาว่า ”อย่าร้องไห้ไปเลย เจ้าเจ็ด ใต้เท้าหวังรู้ดีว่าเขาต้องทำเช่นใด”
ใบหน้าของใต้เท้าหวังซีดจนไร้สี กล้ามเนื้อที่ขากรรไกรล่างของเขากระตุกอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นเขาก็กำมือแน่น แล้วคำรามลั่นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า ”เยว่ลู่! ขอโทษองค์ชายเจ็ดซะ!”