องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 656 พวกเขาดูถูกท่านขอรับ พี่สะใภ้สาม
เสนาบดีที่อยู่ฝั่งองค์ชายไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน พวกเขาเคยคิดว่าปัญหานี้ไม่มีทางออก เพราะเมื่อทั้งสามเมืองมาถึง พวกเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากทันที แต่อีกฝ่ายกลับเสนอแผนการแต่งงานคลุมถุงชนนี้ขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมาย แสงแห่งความหวังยังมีให้เห็นริบหรี่ มันยังไม่ได้สิ้นหวังไปเสียหมด!
หนึ่งในพวกเขายืนขึ้น แล้วเอ่ยกับผู้อาวุโสซวีอู๋ด้วยน้ำเสียงเบิกบานว่า ”จักรวรรดิจ้านหลงของข้ากับเมืองเซวียนหยวนมีความสัมพันธ์สนิทสนมกันเสมอมา คงจะดีเป็นอย่างยิ่งหากพวกเราสามารถกระชับความสัมพันธ์นั้นให้แน่นแฟ้นขึ้นได้”
ผู้อาวุโสซวีอู๋ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ”ถูกอย่างที่ใต้เท้าเฉินว่า”
ทั้งสองสนทนากันอย่างลื่นไหนราวกับรู้จักสนิทสนมกันมานาน
ซงเจิ้งเหวินเหรินไม่ได้สนใจฟังว่าคนที่อยู่ข้างล่างพูดคุยอะไรกัน แทนที่จะทำเช่นนั้นเขากลับมองตรงไปยังร่างผอมเพรียวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่เหนือขึ้นไป แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า ”พี่ไป๋หลี่ ท่านจำสัญญาเมื่อสามปีก่อนของพวกเราได้หรือไม่ วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อทำตามคำสัญญาแล้วขอรับ”
รอยยิ้มของซงเจิ้งเหวินเหรินดูสุภาพเรียบร้อย แต่ถ้าหากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ถึงน้ำเสียงท้าทายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาวเมื่อได้ยินเช่นนี้ พ่อหนุ่ม มันไม่ได้ผลหรอก องค์ชายไม่ได้เป็นแค่โรคคลั่งความสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่เขายังจำหน้าคนไม่เก่งอีกด้วย ไม่มีทางที่เขาจะจำสัญญาที่ทำไว้เมื่อสามปีก่อนได้หรอก!
เป็นเช่นนั้นจริงๆ สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงสงบนิ่ง ไม่มีแม้แต่วี่แววว่าจะจำได้ มือซ้ายของเขาวางอยู่บนที่เท้าแขนของบัลลังก์ของตัวเองขณะที่เขาเผยอริมฝีปากขึ้นพูด ความสง่างามที่แผ่อยู่ทั่วร่างนั้นยิ่งเสริมให้ท่าทางตอนพูดของเขาดูเย็นชายิ่งขึ้น ”เจ้าเป็นใคร”
เจ้าเป็นใคร…
เจ้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ?!
แม้ซงเจิ้งเหวินเหรินจะสามารถรักษาภาพลักษณ์อันสงบเยือกเย็นของตนเมื่ออยู่ในที่สาธารณะได้เป็นอย่างดีเสมอมา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกำมือแน่นเมื่อเผชิญหน้ากับคำถามนี้ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบพลางคิดว่า หมอนี่พยายามจะหาเรื่องเขาหรือ ต่อให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลืมเขาไปแล้วจริงๆ แต่เมื่อครู่นี้ก็คนประกาศชื่อเสียงเรียงนามเขาออกมาแล้วมิใช่หรือ! เขาจะยังไม่รู้ว่าข้าเป็นใครได้อย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามกลั้นขำแล้วช่วยให้ข้อมูลกับเขาว่า ”เขาเป็นองค์ชายรัชทายาทของเมืองเซวียนหยวน”
“อ๋อ?” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอียงใบหน้าเข้ากับฝ่ามือแล้วขมวดคิ้วเหมือนกำลังพยายามนึกให้ออกว่าองค์ชายรัชทายาทของเมืองเซวียนหยวนคือใคร
สายตาซงเจิ้งเหวินเหรินดำทะมึน เขาฝืนยิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงกล่าวว่า ”ดูเหมือนว่าพี่ไป๋หลี่จะนึกออกแล้ว ข้ายังหวังว่าจะได้มีโอกาสประมือกับท่านอยู่นะขอรับ จะได้รู้กันว่าความสามารถของเราอยู่ในระดับใด”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท้าคางด้วยท่วงท่าสง่างาม ริมฝีปากบางของเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ย่อมได้”
หลังจากเห็นซงเจิ้งเหวินเหรินนั่งลงได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพื่อถามว่า ”ท่านนึกออกแล้วหรือว่าเขาเป็นใคร”
“ไม่เลย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกสีดำที่สวมอยู่อย่างไม่แยแส และเผยรอยยิ้มเสียดสีออกมา ”แต่ฟังจากที่เขาพูด เขาน่าจะเป็นคนขี้แพ้สักคนที่โดนข้าคว่ำไปก่อนหน้านี้กระมัง”
ซงเจิ้งเหวินเหรินกำถ้วยกระเบื้องในมือแน่นเมื่อได้ยินเช่นนี้ และมองไปทางผู้อาวุโสซวีอู๋
ผู้อาวุโสซวีอู๋หรี่ตาลง เขากำลังเตรียมตัวที่จะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา…
… แต่เขาก็ถูกเฮ่อเหลียนเวยเวยขัดขึ้นเสียก่อน ”เฮ้อ เช่นนั้นเขาก็คงไม่คู่ควรให้เราต้องสนใจ”
หน้ากากอันอ่อนโยนของผู้อาวุโสซวีอู๋เริ่มเกิดรอยร้าว นางหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าไม่คู่ควรให้ต้องสนใจ! ผู้หญิงคนนี้ดูถูกองค์ชายรัชทายาทของพวกเขาอยู่หรือ หรือนางหมายถึงเมืองเซวียนหยวนของพวกเขาด้วย
ใต้เท้าแซ่เฉินกลัวว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งเหมือนดังที่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาและเมืองหวงจื่อเมื่อครู่นี้ อย่างไรเสียเมืองเซวียนหยวนก็ไม่เหมือนกับเมืองข้างเคียงเมืองอื่น พวกเขามีชื่อเสียงด้านการขับไล่วิญญาณร้ายโดยใช้พลังหยินหยาง ดังนั้นการรักษามารยาทย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า ”ผู้อาวุโสซวีอู๋ ข้าได้ยินมาว่าในวันที่องค์หญิงประสูติ มีลำแสงแห่งพระธรรมสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า สัตว์อสูรทุกตัวต่างส่งเสียงกู่ร้องเพื่อต้อนรับการมาเยือนของนาง แม้กระทั่งผืนดินที่เคยแห้งแล้งก็พลันชุ่มชื่นด้วยสายฝนอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ข้ายังได้ยินมาอีกว่าองค์หญิงมีพระสิริโฉมงดงามราวกับเทพธิดา ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งพุทธคุณ ข้าสงสัยว่าวันนี้นางมากับพวกท่านด้วยหรือไม่ ข้าคงโชคดียิ่งนักหากได้ยลโฉมนางเป็นบุญตา”
ในวันที่คณะเดินทางจากเมืองเซวียนหยวนเข้าสู่เมืองหลวง แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายภายในเมืองหลวง แต่ทุกคนก็ยังสังเกตเห็นหญิงสาวผู้สง่างามที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นมันยังเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางอีกด้วยว่าองค์หญิงเซวียนหยวนชื่นชมไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดังนั้นเสนาบดีทุกคนจึงทราบถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว
หลังจากไตร่ตรองดูสักเล็กน้อย ทุกคนย่อมรู้ว่าองค์หญิงเซวียนหยวนจะต้องเดินทางมากับพวกเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นคำพูดของใต้เท้าเฉินจึงมีจุดหมายเพื่อทำให้เมืองเซวียนหยวนสงบลง และเป็นข้ออ้างให้เขาเรียกตัวองค์หญิงของตนเข้ามา
ผู้อาวุโสซวีอู๋ย่อมพร้อมตอบรับข้อเสนอนี้เป็นธรรมดา เขาหัวเราะขึ้น ”ใครจะคิดล่ะว่าชื่อเสียงขององค์หญิงจะนำหน้านางมาไกลถึงจักรวรรดิจ้านหลง คงจู๋ เจ้าช่วยนำทางองค์หญิงมาที่นี่ที”
“เจ้าค่ะ” มองครั้งแรกเด็กสาวชื่อคงจู๋อาจดูไร้เดียงสาเพราะนางอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกันกับบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่ตอนที่นางเหลือบตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนจะออกไป ในดวงตาของนางกลับเปล่งประกายด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนบางอย่าง
เด็กชายตัวน้อยอ่านแววตานั้นได้อย่างง่ายดาย เขาเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วกระซิบใส่หูนางว่า ”พี่สะใภ้สาม ข้าไม่ได้อยากก่อเรื่องจริงๆ นะขอรับ แต่ผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้ นางเพิ่งจะดูถูกท่านแทนองค์หญิงของตัวเอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลงหัวเราะ นางลูบศีรษะของเด็กชายตัวน้อยแล้วป้อนขนมพุทราให้เขากิน ก่อนจะถามว่า ”ระหว่างข้ากับองค์หญิงที่เจ้ายังไม่เคยเห็นหน้าคนนั้น ใครเท่กว่ากันหรือ”
“คนที่เท่กว่าต้องเป็นพี่สะใภ้สามอยู่แล้วสิขอรับ!” เด็กชายตัวน้อยเล็มขนมพุทราแล้วตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ ”ไม่มีใครกล้าท้าทายพี่สามของข้ามาก่อน ท่านเป็นคนแรกขอรับ พี่สะใภ้สาม”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับกระตุก : … นั่นนับว่าเป็นคำชมจริงหรือ
เด็กชายตัวน้อยไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากได้กินขนมพุทรา ดวงตาของเขากลมโตเหมือนจานรองแก้ว เขานั่งอยู่ข้างเท้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเชื่อฟัง เขาก้มหน้าลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงกัดขนมพุทราก้อนนั้นเข้าปากคำหนึ่ง ภาพนั้นดูน่ารักน่าชังอย่างไม่สามารถวัดได้
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดเขา เขาก็ยังไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นเลยด้วยซ้ำ ในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้ว มันนั่งคนเดียวย่อมดูสง่าผ่าเผยกว่า ดังนั้นเขาจะต้องนั่งคนเดียวให้ได้!
ผู้อาวุโสซวีอู๋มองภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกับหัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ เขาสงสัยว่าพระชายาสามผู้โง่เขลาแต่งงานกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้อย่างไร เขาหันไปพูดกับใต้เท้าเฉินที่อยู่ข้างตัวว่า ”พระชายาสามช่างไร้เดียงสาจริงๆ”
ใต้เท้าเฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดกับคำพูดนี้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร สำหรับคนนอกแล้ว การกระทำของพระชายาสามดูค่อนข้างหยาบคายทีเดียว
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในอดีต เขาคงจะเห็นด้วยกับผู้อาวุโสซวีอู๋ แต่ตอนนี้… หลังจากได้เห็นความสามารถด้านการต่อสู้ของผู้หญิงคนนั้นด้วยตาตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
แต่ครั้งนี้เขาสามารถเริ่มต้นใหม่ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการคลุมถุงชนกับเมืองเซวียนหยวนได้ เขาเพียงแค่ต้องพูดในสิ่งที่เขาสมควรพูด และสงบปากสงบคำเอาไว้เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจเท่านั้น เขาจะอยู่ข้างๆ ไม่แส่หาเรื่อง และไม่ทำตัวให้เป็นจุดเด่นเพื่อไม่ให้ใครสงสัยเขาได้
ใต้เท้าเฉินดำดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง จากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้น แต่แล้วเขาก็ถูกสายตาทิ่มแทงที่สามารถแช่แข็งทุกคนได้อย่างง่ายดายจ้องมอง
เขาไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ แต่ทันทีที่เขาสบเข้ากับสายตาขององค์ชายสาม เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นดวงตาเรียวยาวคู่นั้นส่องแสงสีแดงเย็นยะเยือกออกมา
ใต้เท้าเฉินตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ผู้อาวุโสซวีอู๋ช่วยพยุงเขา แล้วเอ่ยอย่างงุนงงว่า ”ใต้เท้าเฉิน?”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ใต้เท้าเฉินจึงรวบรวมสติกลับมาได้ เขาถอนหายใจออกมา แล้วมองไปทางบัลลังก์ที่อยู่สูงขึ้นไป ชายคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นยังคงมีรอยยิ้มผ่อนคลายแต่สง่างามเช่นเดิม ราวกับว่าสิ่งที่เขาได้เห็นเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นเอง
ใต้เท้าเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนเขาจะคิดมากไปเอง เขาผูกสัมพันธ์กับเมืองเซวียนหยวนมาก่อนที่ฮ่องเต้จะขึ้นครองบัลลังก์เสียอีก กระนั้นฮ่องเต้ก็ไม่เคยสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นองค์ชายสามย่อมไม่มีทางสังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรเสีย ข้อเสนอของเขาก็ล้วนแต่เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของจักรวรรดิจ้านหลงทั้งสิ้น และการแต่งงานคลุมถุงชนเพื่อรักษาสันติสุขก็ถือเป็นเรื่องปกติในหมู่ราชวงศ์
ระหว่างที่ใต้เท้าเฉินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ทันใดนั้นเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงประกาศที่ดังมาจากนอกท้องพระโรง ”องค์หญิงแห่งเมืองเซวียนหยวนเสด็จแล้ว!”