องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 662 นางขับไล่วิญญาณร้ายได้จริงๆ หรือ
ยังไม่ทันที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะร่ายคาถาจบ ผีสาวตนนั้นก็รีบถอยหลังไปสองสามก้าวราวกับหวาดกลัวเป็นอย่างมาก นางทำตาโตจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวย และไม่ได้เข้ามาอีก แต่กลับคุกเข่าลงด้วยท่าทางเหมือนกับกำลังร้องขอความเมตตา
มนุษย์ไม่อาจเข้าใจภาษาของภูตผีได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขาได้ยินจึงมีเพียงแค่ลมหายใจหนักๆ ของนางเท่านั้น
แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้จากท่านั่งของนางว่านางกลัวเฮ่อเหลียนเวยเวยมากแค่ไหน
ภาพนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างสิ้นเชิง!
นางไม่เพียงแค่ทำให้คนของจักรวรรดิจ้านหลงรู้สึกประทับใจ แต่แม้กระทั่งผู้ขับไล่วิญญาณอย่างเหลิ่งอี้ที่ยืนอยู่ถัดจากเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ถ้าหูเขาไม่ได้ฝาด คาถาที่นางร่ายออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือ… คาถาเก้าอักขระ!
คาถานี้เป็นหนึ่งในคาถาขับไล่วิญญาณร้ายที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่พระชายาสามแห่งจักรวรรดิจ้านหลงสามารถใช้มันได้อย่างไร?!
“กำจัด!” คำพูดสองคำสุดท้ายหลุดออกมาจากปากของเฮ่อเหลียนเวยเวย
ร่างของผีสาวโน้มไปข้างหน้าก่อนจะล้มลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่กลืนกินนางจากภายใน แต่นางก็ไม่กล้ายื่นมือออกไปอีก
เป็นที่ชัดเจนสำหรับทุกคนว่าถ้าสิ่งที่เหลิ่งอี้และคนอื่นๆ ทำคือการตรึงวิญญาณตนนี้ให้อยู่กับที่ เช่นนั้นสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำก็ข่มขวัญวิญญาณตนนี้จนถึงขั้นที่นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวอีกต่อไป
ภายใต้การจับตามองของทุกคน เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินตรงเข้าไปหาวิญญาณตนนั้น
“อย่าเข้าไปใกล้นางพ่ะย่ะค่ะ นางอาจจะสิงท่านได้!” เหลิ่งอี้รู้สึกเคารพในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ที่หน้าผากของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ไขว้เขว เสื้อคลุมของนางสะบัดอยู่ในสายลม นางดูเท่ยิ่งนักตอนที่เดินไปหาวิญญาณตนนั้นอย่างไม่กลัวเกรง นางมองผีสาวพร้อมกับเอ่ยคำพูดเดิม แต่ในน้ำเสียงของนางกลับทรงพลังมากพอที่จะทำลายได้ทั้งกองทัพ ”กลับไป”
ผีสาวตนนั้นไม่รอให้นางต้องพูดซ้ำ นางมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะพลิกร่างกลับเข้ากระเป๋าใส่ผ้ายันต์ด้วยความรวดเร็ว มันเร็วกว่าตอนที่นางพยายามหลบหนีเสียอีก นางทำราวกับเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นปีศาจสุดแสนน่าสะพรึงกลัว!
พลังที่สามารถกดดันภูตผีวิญญาณให้ตกอยู่ในสภาพนี้ได้… พวกเขาทุกคนที่อยู่ที่นั่นไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยใบหน้าทั้งตกใจและประหลาดใจ
อู่จิ้งเป็นนักรบที่ไม่รู้อะไรเรื่องมารยาท ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงให้กำลังใจนาง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ”พระชายาสาม กระหม่อมไม่เคยรู้เลยพ่ะย่ะค่ะว่าท่านจะรู้จักแม้กระทั่งวิธีขับไล่วิญญาณร้ายด้วย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วนึกถึงตอนที่หยวนเสี่ยว- ไม่สิ ตอนที่พลังขององค์ชายยังไม่ตื่นขึ้นเต็มที่ ตอนนั้นนางเองก็เคยทำเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นตอนที่ผีสาวปรากฏตัวขึ้น นางจึงแค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือนางกลับสามารถเข้าใจในสิ่งที่ผีสาวตนนั้นพูดได้
นั่นนับว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ แม้กระทั่งสำหรับนาง
ถ้าจากนี้ไปนางได้ยินเสียงภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วนกระซิบอยู่ข้างหลังนางในทุกครั้งที่นางแอบหนีออกไปตอนกลางคืนจะทำอย่างไร
“ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า ถ้าเจ้าไม่ปรารถนาที่จะได้ยินพวกมัน เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ได้ยิน” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่นางคุ้นเคยดังขึ้น เป็นองค์ชายนั่นเองที่หัวเราะเยาะนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมองบนบัลลังก์นั้น เขาแอบอ่านความคิดของนางอีกแล้ว! เขาจะให้ความเป็นส่วนตัวกับนางไม่ได้เลยหรือ!
ผู้อาวุโสซวีอู๋นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที แม้กระทั่งบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองข้างเคียงก็ยังมีสีหน้าเครียดขึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตั้งแต่มีหายนะเกิดขึ้นกับจวนผู้อาวุโสของจักรวรรดิจ้านหลง ความแข็งแกร่งในด้านการขับไล่วิญญาณร้ายของพวกเขาก็อ่อนแอยิ่งนักเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
ทั้งสามเมืองคงคิดว่าเป็นเช่นนั้น พวกเขาถึงได้สร้างพันธมิตรขึ้นและมาที่เมืองหลวง
แต่ตอนนี้กลับมีคนที่สามารถใช้คาถาเก้าอักขระได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ และหากดูจากปฏิกิริยาของผีสาวตนนั้นแล้ว... ดูเหมือนว่าคาถาของนางจะอัดแน่นไปด้วยพลังอันกล้าแกร่ง!
กระทั่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากทั้งสามเมืองก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะสามารถทำให้ผีสาวตนนั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเช่นนั้นได้ มันเหมือนกับว่าที่นี่มีบางอย่างที่อันตรายยิ่งกว่านางอยู่
ที่นี่มีใครบางคนที่ชั่วร้ายกว่านางอยู่จริง… และนั่นก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มสง่างามประดับอยู่ เขานั่งอยู่ด้านหลังเฮ่อเหลียนเวยเวย ประกายแสงสีทองวาบขึ้นมาในดวงตาสีดำของเขาตอนที่ไม่มีใครสังเกต
ตอนนั้นนั่นเองที่ผีสาวตนนั้นสัมผัสได้ถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจสัมผัสได้ ดังนั้นนางจึงรีบกลับเข้าไปในกระเป๋าผ้ายันต์และไม่คิดที่จะพยายามออกมาอีกเลย
แน่นอนว่าผีสาวตนนั้นย่อมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจที่แล่นพล่านไปทั่วเส้นเลือดบอกนางว่านางต้องทำตาม!
อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คือผู้ชนะในยกนี้!
แต่ทันใดนั้นผู้อาวุโสซวีอู๋ก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า ”ใครทำเวลาได้ดีที่สุดหรือ”
เขากำลังเตือนให้ทุกคนรู้ว่ากติกาดั้งเดิมของการประลองคืออะไร ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ทำเวลาได้ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
เป็นที่แน่ชัดว่าเหลิ่งอี้จากเมืองเซวียนหยวนทำเวลาได้ดีกว่า สำหรับจักรวรรดิจ้านหลงนั้น ลำพังแค่ปัดป้องผีสาว ชายหนุ่มคนนั้นก็ใช้เวลาไปมากแล้ว และเมื่อบวกกับตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาช่วยเขาเข้าไปอีกละก็…
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มก้มหน้าพร้อมกับกำมือแน่น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยยิ้มร้ายกาจ ”ไม่เป็นไร นี่ก็แค่ยกแรก มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ตอนนี้เจ้าไปพักได้แล้ว การประลองที่เหลือข้าจะรับช่วงต่อให้เอง”
“สรุปว่าจักรวรรดิจ้านหลงตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวหรือ” ผู้อาวุโสซวีอู๋หัวเราะเสียดสี สายตาของเขาหยุดลงที่เฮ่อเหลียนเวยเวยขณะที่เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยั่วยุว่า ”พระชายาสาม ท่านคงไม่คิดว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองเซวียนหยวนของเราอยู่ในระดับนี้ทั้งหมดหรอกใช่หรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งยิ้มสว่างไสวให้เขา และตอบอย่างเย็นชาว่า ”คนของเราที่มาจากจักรวรรดิจ้านหลงก็มีดีมากกว่าที่ท่านเห็นเช่นกัน องค์หญิงของท่านถามข้าว่าข้าสามารถทำอะไรเพื่อองค์ชายได้บ้างมิใช่หรือ หลังจากคิดดูแล้ว นี่ก็คือคำตอบของข้า - นอกจากสนับสนุนด้านการเงินและดูแลเขา ข้าก็ยังสามารถช่วยเขาสอนบทเรียนให้กับคนที่สมควรได้รับมันได้อีกด้วย โดยเฉพาะพวกที่ทำตัวเป็นอันธพาลอย่างเมืองอันทรงเกียรติของท่านด้วย”
“ท่าน!” นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสซวีอู๋อยากบีบคอใครสักคนมากขนาดนี้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มหวานราวกับว่าคนที่พูดประโยคเมื่อครู่ออกมาไม่ใช่นาง ”ผู้อาวุโสซวีอู๋อย่าตื่นเต้นมากจนไป อย่าลืมสิว่าท่านอายุมากแล้ว”
ผู้อาวุโสซวีอู๋สูดหายใจเข้าลึก
ใบหน้าเล็กๆ ของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์แดงก่ำด้วยความโกรธจนเลือดแทบกระเด็น!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเคี้ยวซาลาเปาเนื้ออยู่ เขามองไปทางซ้ายทีขวาที จากนั้นจึงเกาศีรษะตัวเอง ไม่ใช่ว่าสิ่งสำคัญในประโยคนั้นคือที่นางบอกว่านางเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินขององค์ชายสามหรอกหรือ ทำไมผู้อาวุโสถึงได้โมโหถึงเพียงนั้นล่ะ
คนที่ควรโกรธน่าจะเป็นพี่สามมิใช่หรือ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เด็กชายตัวน้อยก็ลอบมองไปทางพี่สามของตัวเอง
นั่นปะไร
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วพลางปัดนิ้วผ่านริมฝีปากบางของตัวเอง เขาหัวเราะขึ้นเสียงเบา และเอ่ยว่า ”สนับสนุนด้านการเงินและดูแลข้าหรือ หึ”
“พี่สามขอรับ” เด็กชายตัวน้อยรีบเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ”พี่สะใภ้สามแค่ล้อเล่นขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขา แล้วยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กๆ นั้น เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าอันตรายว่า ”ต่อให้นางพูดเล่น แต่นางก็คิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเป็นความจริง ไหนบอกข้าสิว่าข้าควรจะลงโทษนางอย่างไรดี หืม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กชายตัวน้อยก็รีบปิดปากเงียบทันที ศีรษะโล้นเตียนของเขาลดต่ำลง จากนั้นเขาก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับคิดในใจว่า พี่สะใภ้สาม ข้าทำทุกอย่างที่ข้าสามารถทำได้แล้วขอรับ น่าเสียดายจริงๆ ที่ศัตรูของพวกเราเจ้าเล่ห์เกินไป!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นสายตาของเด็กชายตัวน้อย เมื่อนางเหลือบมองไปทางเขา นางก็เห็นว่าองค์ชายกำลังแสยะยิ้มมองลงมาที่นาง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางมองเด็กชายตัวน้อยด้วยสายตาตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองเพดาน และเบะปากไปทางด้านหลัง…