องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 67 อยากให้จูบหรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักเล็กน้อย แล้วชำเลืองมองกิเลนอัคคี “แม้กระทั่งอาหารก็ทำให้เจ้าหยุดพูดไม่ได้สินะ”
“นายท่าน ท่านเรียกข้าออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี อีกทั้งยังยอมเสียแกนกลางมังกรเพื่อแลกเปลี่ยนกับการคุ้มครองจากผู้หญิงคนหนึ่งอีกด้วย อย่าบอกนะ ว่าท่านไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น” วิธีพูดของกิเลนอัคคีชวนให้คนที่ได้ยินพากันคิดไปต่างๆ นานา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล่นกับแหวนที่นิ้วโป้ง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้น “เจ้าต้องให้รางวัลเหยื่อก่อนที่จะลงมือฆ่ามัน”
“แต่นี่ดูไม่สมกับเป็นท่านเลย ท่านเป็นคนเลือดเย็นก็จริง แต่ท่านก็ไม่เคยสนใจใครมากขนาดนี้มาก่อน แล้วยังทำเหมือนนางเป็นเหยื่อไปเสียได้” กิเลนอัคคีสงสัย “ข้านึกว่าจะมีแต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่นข้าเสียอีกที่ถูกตาต้องใจท่าน”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรืองแสงวาบ ความกดดันหนาแน่นลอยอยู่ในอากาศ “เลือดเย็นหรือ”
แม้ว่าจะเป็นกิเลนอัคคี แต่ก็ยังไม่สามารถสู้สายตาอันเย็นชาของผู้เป็นนายได้ มันกระแอมออกมาเบาๆ “ข้าหมายความว่า คนที่สูงส่งอย่างท่าน กลับไปสนใจคนธรรมดาเช่นนั้นได้อย่างไรต่างหากขอรับ”
[เฮ้อ การเอาใจเจ้านายนี่กินแรงชะมัด!]
กิเลนอัคคีหันไปอีกทาง แผ่นหลังของมันชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดเสียงลงพลางยกยิ้ม “นางเป็นถึงคนที่กล้าใช้เงินซื้อตัวข้าคนนี้ แล้วจะไม่ให้ข้าสนใจนางได้อย่างไร”
ใช้… ใช้เงินซื้อตัวนายท่านรึ กิเลนอัคคีตกใจจนแทบสำลักน้ำลายตัวเอง แค่กๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน นางกล้าทำเรื่องไม่กลัวตายเช่นนั้นได้อย่างไร!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายท่านถึงได้ทำตัววิปริตถึงเพียงนี้ เหตุผลเป็นเช่นนี้นี่เอง!
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นมากมายในระหว่างที่เขาไม่อยู่!
ยิ่งไปกว่านั้น…
“นายท่าน ท่านจำแมวขาวที่อยู่ข้างนางได้ไหมขอรับ” กิเลนอัคคีเตือนความจำเขาอย่างรู้งาน
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวาบขึ้นด้วยอารมณ์อันยากจะรู้ที่มา แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก “ลูกหลานของเผ่าไป๋เจ๋อในตำนาน อีกทั้งยังเป็นองค์ชายเพียงพระองค์เดียวด้วย เขาน่าจะได้รับบาดเจ็บ ก็เลยเผยร่างจริงออกมา แล้วก็กลายร่างเป็นแมวโง่ๆ ตัวหนึ่ง”
เจ้าแมวขาว “ฮัดเช้ย! ฮัดเช้ย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขา “ขอล่ะ อย่างน้อยเจ้าช่วยทำตัวให้สมกับเป็นแมวหน่อยได้ไหม แมวปกติไม่จามแบบนั้นหรอกนะ”
“ต้องมีคนคิดถึงข้าอยู่แน่นอน” เจ้าแมวพูดพร้อมสีหน้าภาคภูมิใจ “เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าการหายตัวไปของข้าสามารถทำให้คนทั้งเผ่าแตกตื่นได้เลยเชียวล่ะ”
ขวับ!
ทันทีที่กิ่งไม้ในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยขยับ กระต่ายขาวอีกตัวก็ถูกจับได้ นางมองเจ้าแมวที่ยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อาจจะมีคนนินทาเจ้าอยู่ก็ได้”
เจ้าแมวขาว “…”
ฮัดเช้ย!
อีกด้านหนึ่ง กิเลนอัคคีส่ายหน้า แล้วพูดต่อ “ดูเหมือนจะมีสัญญาณบอกว่าสองคนนั้นทำพันธสัญญากันแล้ว คาดไม่ถึงจริงๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นสามารถทำให้ลูกหลานของเผ่าไป๋เจ๋อยอมศิโรราบได้ นายท่านเองก็คงรู้ว่าเจ้าพวกนั้นขึ้นชื่อเรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายที่สุด แต่นายท่านผู้ทรงเกียรติของข้าเอ๋ย บนโลกใบนี้ ผู้ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของสัตว์ในตำนานมีแค่ข้าเพียงผู้เดียว ตัวข้าจะขอมีเจ้านายเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต และคนคนนั้นก็คือท่านขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ตอบอะไร เสื้อคลุมสีขาว รอยยิ้มบาง และเงาร่างสูงโปร่งของเขาคล้ายมีแสงแผ่ออกมาให้เห็น
สิ่งนี้ทำให้สัตว์ทุกตัวในป่าวิญญาณรู้สึกใจสั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้สึกยอมสวามิภักดิ์ต่อความแข็งแกร่งที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดทะลักออกมา ทำให้หัวใจของพวกมันสั่นสะท้าน
แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกมันก็สามารถรับรู้ได้ว่ามีคนที่สมกับเป็นราชาก้าวเข้ามาในป่า!
แต่มนุษย์อย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่สามารถสัมผัสได้ หลังจากจับกระต่ายได้มากพอ นางก็กลับไปที่กองไฟ มีดสั้นของนางตวัดฉับเพียงครั้งเดียว หนังของเจ้ากระต่ายก็ถูกถลกร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น
โดยปกตินั้นคุณหนูที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนย่อมทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องมองการเคลื่อนไหวอันช่ำชองของเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาทอแสงวาบด้วยความรู้สึกอันยากจะรู้ได้
เจ้าแมวขาวจ้องมองเขาตลอดเวลา เขาไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้ไร้พลังปราณจริงหรือไม่ และเพราะเขาไม่แน่ใจ เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำเสียงเบา “ผู้ชายคนนี้นั่งอยู่ที่นี่มาตั้งนาน แต่กลับไม่เห็นมีสัตว์ร้ายโผล่มาสักตัว”
เจ้าแมวขาวส่งเสียงในลำคอ “ไม่แปลกหรอก โดยทั่วไปแล้ว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชอบเข้าใกล้คนแข็งแกร่ง ผู้ฝึกปราณที่มีพลังปราณต่ำ ย่อมไม่ได้รับความสนใจจากพวกมัน ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ได้โกหก เขาไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า ทิ้งความสงสัยที่ตนเคยมีต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไป
หนึ่งคนและหนึ่งแมวคู่นี้จะรู้ได้อย่างไรว่าสาเหตุที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้ามาใกล้ ไม่ใช่เพราะพวกมันไม่อยากเข้ามา แต่เป็นเพราะพวกมันเข้ามาไม่ได้ต่างหาก
ระบบชนชั้นภายในโลกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเข้มงวดมาก
แม้กิเลนอัคคีจะไม่ได้ปรากฏกายต่อหน้าเจ้าแมวขาว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ไปปรากฏกายที่อื่น กลิ่นอายที่มันแผ่ออกมาทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตื่นกลัวก่อนที่จะทันได้เข้าใกล้เสียอีก หากไม่อยากตาย พวกมันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรอก!
แต่พวกมันคิดมากเกินไป กิเลนอัคคีเพิ่งกินสัตว์อสูรเข้าไป ดังนั้นมันจึงไม่หิวมากนัก ตอนนี้มันซ่อนตัวอยู่ในมิติสวรรค์ คอยดูว่าผู้เป็นเจ้านายจะทำอะไรต่อไป
หลังจากที่ทั้งสองกินข้าวเสร็จ ก็คงจะเข้านอน
หึ นั่นล่ะคือความหมายที่แท้จริงของการที่หญิงชายอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
รอยยิ้มมีเลศนัยให้ความรู้สึกชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกิเลนอัคคี
เฮ่อเหลียนเวยเวยชโลมน้ำสตรอว์เบอร์รีไปทั่วกระต่าย แล้วนำมันไปย่างจนได้ที่ ด้านนอกสุกกรอบกำลังดี กลิ่นหอมหวนลอยฟุ้งในอากาศ
ตอนที่นางส่งกระต่ายย่างให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขานิ่วหน้า แต่ก็ยอมรับไป แล้วลงมือกินด้วยท่วงท่าอันสง่างามราวกับว่าเขาไม่ได้กำลังกินข้าวอยู่กลางป่า แต่กำลังอยู่ในวังหลวง
เมื่อเขากินเข้าไปคำแรก รสชาติของกระต่ายย่างอร่อยกว่าที่คิด ทำเอาเขานึกถึงคำพูดของน้องชายขึ้นมา เลือกพระชายาที่ทำอาหารเป็น
เนื้อที่นางย่างออกมารสชาติดีกว่าที่บรรดาพ่อครัวในวังทำเสียอีก น่าจะเป็นเพราะวิธีการที่นางใช้ทำ
เขาไม่เคยเห็นวิธีที่เวยเวยใช้ทำอาหารมาก่อน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยช้อนดวงตาหงส์ของตนขึ้น ดวงตาของเขาราวกับบ่อน้ำที่ไร้ก้นบึ้ง
“เรียบร้อย” หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บของเสร็จ นางก็นำหญ้าแห้งมาปู “ดึกแล้วเพคะ องค์ชายก็ควรบรรทมได้แล้ว ราตรีสวัสดิ์เพคะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังจะนอนลงข้างเขา คิ้วหนาของเขาก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “นอนอย่างไร”
“นอนอย่างนี้เพคะ” สมัยที่เฮ่อเหลียนเวยเวยออกไปทำภารกิจ นางต้องนอนกลางป่าอยู่บ่อยๆ ดังนั้นนางจึงชินไปแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่อต้านวิธีนอนเช่นนี้เป็นอย่างมาก นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ขอองค์ชายอย่าได้กังวล หม่อมฉันมิได้สนใจในตัวพระองค์แต่อย่างใด ดังนั้นพระองค์สามารถบรรทมได้อย่างสบายใจเพคะ” ไม่ว่าลักษณะท่าทางของเขาจะเลิศเลอเพียงใด แต่อย่างไรเขาก็ชอบไม้ป่าเดียวกัน นางไม่กระโจนใส่คนที่ชอบไม้ป่าเดียวกันหรอก
พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็พลิกตัวไปอีกข้างเตรียมจะพักผ่อน แต่คาดไม่ถึงว่าข้อมือของนางจะถูกอีกฝ่ายกดเอาไว้
“ไม่สนใจหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มให้สตรีที่อยู่ด้านล่างเขาอย่างชั่วร้าย สัมผัสได้ถึงอาการบีบรัดในอก “เช่นนั้นเจ้าสนใจผู้ใดเล่า มู่หรงฉางเฟิงหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ องค์ชายสามที่ปกติแสนจะเย็นชาถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางขัดขืนเขาโดยสัญชาตญาณ แล้วตอบอย่างเย็นชาว่า “เรื่องนี้ดูจะไม่เกี่ยวอะไรกับฝ่าบาทเพคะ”
เขาเองก็หัวเราะเยาะเรื่องที่นางหมกหมุ่นอยู่กับมู่หรงฉางเฟิงเหมือนกับคนอื่นๆ หรือ
“ไม่เกี่ยวกับข้าหรือ” เมื่อเขาได้ยินนางพูดสี่คำนั้นออกมา สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เย็นชา ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้รู้สึกถึงอันตราย นางก็เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสียแล้ว จากนั้นกลิ่นไม้จันทน์ของชายหนุ่มก็โอบล้อมรอบตัวนาง โดยมิได้สนใจสายตาประหลาดใจของนางเลยแม้แต่น้อย…