องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 674 ไม่มีคนอื่นนอกจากเวยเวยแล้วหรือ
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ผลักสาวใช้ที่กำลังช่วยเช็ดปากให้นางออก ดวงตาของนางไม่ได้เป็นประกายเหมือนอย่างเคย แต่บนใบหน้าของนางกลับยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏอยู่ ดวงตาของนางแดงระเรื่อหลังจากอาเจียนเสร็จ เวลานี้นางดูน่าสงสารอย่างมาก นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากว่าทุกครั้งว่า ”ท่านผู้อาวุโส ถ้าข้าจำไม่ผิด นี่เป็นเพียงแค่การประลองยกที่สองเท่านั้น และพวกเราเสมอกันหนึ่งต่อหนึ่งกับจักรวรรดิจ้านหลงใช่หรือเปล่า”
ผู้อาวุโสซวีอู๋กำลังง่วนอยู่กับการหาวิธีเตือนสติทูตเหล่านั้น เขารู้ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คนของเมืองหวงจื่อย่อมรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ขณะที่เขากำลังคิดหัวแทบแตกว่าจะพูดอย่างไรให้ดูเป็นธรรมชาติดีนั้นเขาก็พลันได้ยินคำพูดของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์เข้า ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมาแล้วสำทับว่า ”องค์หญิงเข้าใจถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราเสมอกัน รอบที่สามเป็นการประลองแบบกลุ่ม แต่ละเมืองต้องส่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายลงประลองอย่างน้อยเมืองละสองคน ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณ และปัดเป่าวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างมนุษย์ออกไปให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเขาจะต้องอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณออกมาหรือ” ใครบางคนอุทานขึ้นเหมือนไม่อยากเชื่อ
แต่ยังมีอีกหลายคนที่รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ ”ปกติแค่การขับไล่วิญญาณร้ายในร่างมนุษย์ก็นับว่าเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แน่นอนว่าถ้าเราใช้คาถาขับไล่วิญญาณกับคนที่ถูกสิงโดยตรง มันย่อมสามารถกำจัดวิญญาณร้ายที่อยู่ในร่างได้ แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้คนที่ถูกสิงเสียสติไปเช่นกัน ส่วนการอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณที่ทรงพลังยิ่งกว่ายมทูตออกมาและใช้ความน่าเกรงขามของพวกเขาล่อวิญญาณร้ายนั้นนับว่าเป็นวิธีการขับไล่วิญญาณร้ายที่ดีทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อน ทันทีที่วิญญาณร้ายหนีไปสิงร่างคนอื่น ปราณแห่งความเคียดแค้นของพวกมันจะยิ่งทวีความหนาแน่นขึ้น จากนั้นถ้าพวกเราล้มเหลวในการปัดเป่าวิญญาณร้ายเหล่านี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเราจะถูกขังอยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้และไม่สามารถเอาชีวิตรอดออกไปได้”
ผู้อาวุโสซวีอู๋เหลือบมองผู้แทนจากเมืองข้างเคียงทั้งสองเมือง แล้วเสริมว่า ”ไม่ต้องกลัว! ยกนี้ข้าจะลงประลองพร้อมกับองค์รัชทายาท ดังนั้นย่อมไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน”
“ซงเจิ้งเหวินเหรินจะลงสนามด้วยตัวเองหรือ” ความตกตะลึงฉายชัดขึ้นในดวงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากทั้งสองเมือง!
เป็นที่รู้กันว่าฝีมือในการขับไล่วิญญาณร้ายของซงเจิ้งเหวินเหรินนั้นยากจะหยั่งถึงเพียงใด
ตอนแรกที่พวกเขามาถึงเมืองหลวง พวกเขาไม่ได้รับแจ้งเลยด้วยซ้ำว่าซงเจิ้งเหวินเหรินจะลงประลองด้วย
แต่ตอนนี้เขากลับจะลงประลองในยกที่สามหรือ
นอกจากผู้พิทักษ์ของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแล้ว บนแผ่นดินนี้ก็มีน้อยคนนักที่จะมีฝีมือทัดเทียมซงเจิ้งเหวินเหริน!
เขาเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เก่งกาจที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคือคนที่สามารถอัญเชิญยมทูตนับสิบๆ ตนออกมาได้อย่างง่ายดาย และในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้พวกเขาทำตามคำสั่งของตัวเองได้อีกด้วย
ถ้าเขาลงประลองในยกนี้ ชัยชนะจะต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน!
ทูตทั้งสองสบตากัน ความกระวนกระวายในหัวใจของพวกเขาพลันสงบลง จากนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสมองของพวกเขา ”อันที่จริง มีคนของเราสองคนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง แต่เรายังไม่สามารถปัดเป่าพวกมันไปได้ ผู้อาวุโสซวีอู๋เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีความสามารถ บางทีเราน่าจะพาตัวพวกเขาเข้ามา”
ระหว่างที่พูด ผู้แทนทั้งสองก็หันหน้ากลับมาโดยพร้อมเพรียงกัน
ข้ารับใช้คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทั้งสองอย่างรวดเร็วพร้อมกับลากชายสองคนที่ถูกล่ามโซ่เหล็กเอาไว้เข้ามา
ทั้งคู่ก้มศีรษะลงต่ำ ดวงตาของพวกเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แม้กระทั่งเล็บของพวกเขาก็ยังมีสีดำคล้ำ ทั้งสองดูพร้อมจะกระโจนเข้าใส่ทุกคนที่เห็น และฉีกเนื้อของคนคนนั้นออกจากกระดูก
ทุกคนในท้องพระโรงกลั้นหายใจทันทีที่เห็นภาพนั้น ก่อนจะมองไปที่ยันต์ผ้าเหลืองที่แปะอยู่ทั่วร่างของทั้งสอง ยันต์ทุกแผ่นเรืองแสงเป็นสีแดงทุกครั้งที่นักโทษขยับตัว
“พวกเขาเคยเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย หลังมาถึงจักรวรรดิจ้านหลง พวกเขาสังเกตเห็นถึงสิ่งปกติที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง จึงได้ล่วงหน้ามาที่นี่ก่อนพวกเรา แต่เมื่อพวกเขามาถึงเมืองหลวงและเจอตัวพวกเขา พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว” ทูตจากเมืองข้างเคียงถอนหายใจพร้อมกับฝืนยิ้มแข็งออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นเขาจึงพูดต่อ ”ทีแรกข้าไม่อยากนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เพราะมันย่อมสร้างความอับอายให้กับเมืองของพวกเรา แต่ถ้าพวกเขายังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ข้าเกรงว่าแม้กระทั่งโซ่ตรึงวิญญาณเส้นนี้ก็คงไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งพวกเขาได้อีกต่อไป คนเหล่านี้แตกต่างจากคนธรรมดา พวกเขาเชี่ยวชาญด้านอาคม ดังนั้นจึงอันตรายกว่าคนทั่วไปถึงห้าเท่าเมื่อถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ถ้าองค์ชายไม่อยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่กล้าปล่อยพวกเขาออกมา”
ระหว่างที่ผู้แทนพูด หนึ่งในนักโทษก็คำรามออกมาเสียงต่ำ เสียงของเขาฟังดูไม่เหมือนเสียงร้องของมนุษย์แม้แต่นิดเดียว เขายื่นมือซ้ายออกมาพลางพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะคว้าตัวเสนาบดีที่ยืนอยู่ข้างๆ ถ้าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่ยกกระบี่ไม้ท้อจ่อเข้าที่คอของเขา ชายที่ถูกวิญญาณร้ายสิงสู่อยู่นี้ก็คงฉีกใบหน้าของเสนาบดีเป็นชิ้นๆ อย่างไร้ความปรานีไปแล้ว
เสนาบดีทั้งหลายเป็นเพียงแค่คนธรรมดา และไม่ได้ทำใจมาเจอกับความสยดสยองนี้ พวกเขาหวาดกลัวจนหน้าซีดเซียว
ทันทีที่คนที่ถูกวิญญาณร้ายสิงก้าวเข้ามาในห้อง อุณหภูมิทั่วทั้งท้องพระโรงก็พลันเย็นยะเยือกอีกครั้ง
ความหนาวเย็นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคุ้นเคย มันแตกต่างไปจากตอนที่ยมทูตปรากฏตัวขึ้น ครั้งนี้มันทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างเกาะอยู่บนไหล่และเป่าลมหายใจเย็นยะเยือกใส่ จนทำให้ขนลุกไปทั้งร่าง
ผู้อาวุโสซวีอู๋ขมวดคิ้วสีดอกเลาหนาเข้าหากัน ก่อนมาถึงที่นี่ พวกเขาได้หารือกับคนจากเมืองข้างเคียงมาล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะเป็นคนหาเหยื่อที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงให้เอง แต่ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นกลับอยู่เหนือการควบคุมของเขา และยากที่จะรับมือได้ยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา หากเขาร่วมมือกับองค์รัชทายาท การจัดการกับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้อาวุโสซวีอู๋ก็หัวเราะออกมาอีกครั้งพร้อมกับลูบเคราตัวเอง ”เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเราแต่ประการใด แต่อย่างไรทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าพระชายาสามจะลงประลองด้วยหรือไม่ อย่างไรนี่ก็เป็นการประลองแบบกลุ่ม ไม่เหมือนกับการประลองในสองยกก่อนหน้านี้”
คำพูดของผู้อาวุโสซวีอู๋เตือนให้คนจากอีกสองเมืองระลึกได้ว่ายกถัดไปเป็นการประลองแบบกลุ่ม ไม่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่จักรวรรดิจ้านหลงก็มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีฝีมืออยู่เพียงแค่คนเดียว คนที่อยู่ถัดจากนางยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลยนอกจากความรู้พื้นฐานเท่านั้น หากทั้งสองได้ประมือกับองค์รัชทายาทเหวินเหรินและผู้อาวุโสซวีอู๋ละก็ แม้กระทั่งปัดเป่าวิญญาณร้ายพวกเขาก็อาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึงการชนะศึกนี้
ต่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะสามารถอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณออกมาได้ แต่มันก็ยังเป็นความพยายามที่ไร้ผลเพราะเด็กหนุ่มคนนั้นทำอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว!
ความเสียใจที่บรรดาทูตเคยรู้สึกอยู่ในใจเมื่อครู่นี้หายไปหมดทันทีที่พวกเขาคิดว่าคราวนี้จักรวรรดิจ้านหลงจะต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!
หากใช้วิธีการนี้ แผนการที่พวกเขาคิดไว้ในตอนแรกย่อมไม่ใช่การคว้าน้ำเหลว
หลิวอวี้ตระหนักได้ถึงปัญหานี้เช่นกัน เขาจึงหันหน้าไปสังเกตสีหน้าของคนจากจวนผู้อาวุโส
นับตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้หมกมุ่นอยู่กับการหลอมโอสถจนไม่สนใจสิ่งใดก็ผ่านมาหลายปีแล้ว จวนผู้อาวุโสเองก็เลิกฝึกฝนศาสตร์แห่งหยินหยางไปเพื่อสนองความต้องการของฮ่องเต้ พวกเขาทุ่มความสนใจให้กับการไล่ตามความฝันในการเป็นอมตะของฮ่องเต้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ในทุกวันนี้พวกเขาไม่สามารถผลิตผู้ขับไล่วิญญาณร้ายฝีมือดีออกมาได้เลยสักคน
นอกจากนั้น คนส่วนใหญ่ก็ยังรักตัวกลัวตาย ดังนั้น พวกเขาจะมาเป็นอาสาสมัครของจักรวรรดิจ้านหลงได้อย่างใด
“ใต้เท้าหลิว ถ้าท่านรับมือกับสถานการณ์นี้ไม่ไหว ให้ข้าทำแทนดีกว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ข้าก็จะปกป้องพระชายาสามด้วยชีวิตของข้าเอง!” ชายคนนี้อาจยังหนุ่ม แต่เขาก็ยืนตรงอย่างภาคภูมิใจด้วยร่างเล็กๆ ดูอ่อนแอของเขา
เรื่องมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนรู้ดีว่าต่อให้ส่งใครไป ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงไม่ดีนัก
แต่เพื่อเกียรติยศของประเทศชาติ พวกเขาจำต้องสู้!
แต่เราจำเป็นต้องส่งคนไปตายก่อนวัยอันควรจริงๆ หรือ
หน้าผากของหลิวอวี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต ก่อนเขาจะตัดสินใจเอ่ยขัดเด็กหนุ่มว่า ”ขอข้าคิดดูก่อน” มันต้องมีวิธีอื่นสิ พวกเรายังไม่ถึงทางตันเสียหน่อย แต่พวกเรามีทางเลือกอื่นหรือ พวกเราจำต้องเสียสละใครบางคนเพื่อการนี้จริงๆ หรือ