องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 685 ความสามารถและสติปัญญาของเวยเวย
การสืบหาต้นตอของเรื่องนี้ไม่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้ได้ เพราะอย่างไรเวลาห้าวันก็ไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานนัก
ทันทีที่พวกเขาส่งบุตรแห่งราชานรกกลับไป เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เรียกเสนาบดีจากกรมขุนนางเข้ามา
วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสืบหาเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ ในเมืองหลวงคือการค้นหาตำแหน่งของผู้ที่เสียชีวิตในช่วงนี้
คนอื่นอาจคิดวิธีการเช่นนี้ออกมาไม่ได้
แต่สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว การนำเรื่องสองเรื่องมาปะติดปะต่อกันย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
เสนาบดีจากกรมขุนนางนึกไม่ถึงว่าพระชายาสามจะสนใจเรื่องพวกนี้ พวกเขามองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นเชิงขออนุญาต หลังจากได้รับการพยักหน้าจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พวกเขาจึงยื่นม้วนกระดาษให้กับนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกม้วนกระดาษ แต่แล้วจู่ๆ นางก็หยุดลงที่หน้าหนึ่งอย่างกะทันหัน ”มีคดีคนหายเกิดขึ้นติดต่อกันตลอดสองวันหรือ เกิดอะไรขึ้น”
เสนาบดีคนนั้นอุทานออกมา ก่อนจะเหลือบมองม้วนกระดาษ เขาตอบด้วยสีหน้าไร้กังวลว่า ”โอ้ เรากำลังตรวจสอบคดีเหล่านี้อยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ แต่มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อันใดนัก ผู้ที่มาแจ้งเหตุเป็นทหารยามพ่ะย่ะค่ะ เขาได้ยินคนร้องขอความช่วยเหลือตอนที่เดินผ่านซอยซอยหนึ่ง แต่เมื่อลองเข้าไปดู ก็ไม่พบความผิดปกติอันใดพ่ะย่ะค่ะ เขาอาจจะหูแว่วไปก็ได้”
“แต่วันนั้นก็มีคนหายไปมิใช่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”ใต้เท้าหลี่ไม่ต้องตกใจ บอกความจริงข้ามาเถิด มิเป็นไรหรอก”
เสนาบดีจากกรมขุนนางปาดเหงื่อเย็นๆ ที่อยู่บนหน้าผาก แล้วแอบชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นเขาจึงตอบเสียงเบาว่า ”หลังจากได้รับแจ้ง คนของกระหม่อมก็ตรงไปยังที่เกิดเหตุ แต่พวกเราก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดพ่ะย่ะค่ะ ในซอยนั้นไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ แต่บังเอิญว่าในเวลานั้นมีคู่รักคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกันอยู่พอดี ดังนั้นกระหม่อมจึงคิดว่าทหารยามคนนั้นคงจะเข้าใจผิดไปเองพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งกว่านั้น ทหารยามคนนั้นก็ยังยอมรับสารภาพอีกด้วยว่าคืนนั้นเขาเมาสุรา และอาจจะเข้าใจผิดจริงๆ แต่แล้วพวกเราก็ต้องประหลาดใจเพราะในวันต่อมากลับมีคนมาแจ้งเหตุว่าบุตรสาวของพวกเขาที่กำลังจะเข้าพิธีสมรสหายตัวไป จากนั้น ในวันที่สาม…”
“ก็มีคนอื่นมาแจ้งว่าคนในครอบครัวของพวกเขาหายตัวไปเช่นกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยขัดขึ้น ก่อนจะวิเคราะห์ต่อ ”และหญิงสาวเหล่านั้นก็คงเคยไปที่ซอยนั้นก่อนที่พวกนางจะหายตัวไป ไม่ใช่แค่นั้น ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในละแวกนั้นอีกด้วย ถูกหรือเปล่า”
เสนาบดีจากกรมขุนนางไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาได้แต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่า ”ท่านรู้ได้อย่างไร” แม้คดีนี้จะมีบันทึกอยู่ในม้วนกระดาษ แต่มันก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดเอาไว้
“ตามหลักแล้ว ถ้าหญิงสาวเหล่านั้นไม่เคยไปที่ซอยนั้นมาก่อน เจ้าก็คงไม่บันทึกเรื่องที่ทหารยามคนนั้นมาแจ้งไว้อย่างเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ ส่วนข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือว่าหญิงสาวที่หายตัวไปเป็นคนในละแวกนั้น…” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ”ในเมื่อเหยื่อที่หายตัวไปล้วนแต่เป็นหญิงสาวที่กำลังจะเข้าพิธีสมรส ดังนั้นขอบเขตในการทำกิจกรรมต่างๆ ของพวกนางจึงมีอย่างจำกัด โดยปกติแล้วหญิงที่ยังไม่แต่งงานย่อมไม่ไปไหนไกลนัก ดังนั้นพวกนางจะต้องเป็นคนที่อยู่ในละแวกเดียวกันกับซอยนั้นอย่างแน่นอน”
เสนาบดีจากกรมขุนนางตกตะลึงกับการวิเคราะห์ของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยตาโต ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ความประหลาดใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา องค์ชาย ท่านไปหาผู้หญิงที่เก่งกาจถึงเพียงนี้มาจากที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ
ถ้าพระชายาสามเข้าร่วมกรมของพวกเขา คดีเก่าที่ยังไขไม่ออกจะต้องถูกไขได้อย่างกระจ่างแน่!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจดวงตาเป็นประกายขอเสนาบดีคนนั้น นางเคาะนิ้วอย่างใจลอยลงบนโต๊ะ ก่อนเอ่ยต่อว่า ”ในเมื่อพวกเขามีบางอย่างเป็นจุดร่วม ดังนั้นเราย่อมสามารถสืบสวนคดีนี้ได้ง่ายขึ้น เจ้ายกคดีนี้ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน แต่เจ้าต้องเก็บเป็นความลับให้ดี เจ้าให้คนของกรมขุนนางตรวจสอบคดีนี้ควบคู่กันไปด้วยก็ได้ แต่ห้ามบอกใครว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่จำเป็นต้องช่วยข้า องค์ชายกับข้าจะไปยังที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และไม่มีเจ้าหน้าที่หรือทหารคนใดเคยเห็นพวกข้ามาก่อน ถ้าเจ้าบังเอิญพบพวกข้าที่นั่น ขอให้ทำตัวตามปกติ อย่าได้เผยพิรุธออกมา”
“องค์ชาย… องค์ชายจะไปที่นั่นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหลี่เป็นห่วงความปลอดภัยขององค์ชายสาม ”ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของราชสำนัก…” เขากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์วุ่นวายในราชสำนัก และคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่องค์ชายจะเสด็จออกจากวังหลวง แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่าองค์ชายเพิ่งจัดการคณะทูตจากทั้งสามเมืองมาหมาดๆ เวลานี้คนที่ชายแดนต่างก็ให้ความเชื่อฟังพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง และยังยินดีที่จะถวายบรรณาการให้กับจักรวรรดิจ้านหลงเพื่อให้องค์ชายไว้ชีวิตพวกเขา มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็ยังไปถึงหูของอดีตฮ่องเต้แล้วอีกด้วย เสนาบดีทุกคนต่างก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อหน้าองค์ชายอีก ทั้งราชสำนักสงบสุขอย่างน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะห้ามไม่ให้องค์ชายไปยังที่เกิดเหตุ
แต่…
“องค์ชายไปเยือนสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเองเช่นนี้จะไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้าจะมิดีกว่าหรือ” ใต้เท้าหลี่กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ต่อให้เขาชดใช้มันด้วยชีวิตก็คงไม่พอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม และบอกว่า ”ใต้เท้าหลี่ ท่านคิดว่าจะมีใครในแผ่นดินนี้สามารถเอาชนะองค์ชายได้หรือ”
เสนาบดีจากกรมขุนนางถึงกับพูดไม่ออก นั่น… ก็จริง ทักษะการต่อสู้ขององค์ชายนั้นยอดเยี่ยมกว่าใคร และใครก็ตามที่ยั่วโมโหเขาย่อมถูกส่งตรงไปพบราชาแห่งนรกทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน
เสนาบดีจากกรมขุนนางมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาและสง่างามขององค์ชาย และรู้ว่าเขาไม่ควรออกความเห็นใดๆ ต่อ แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจที่พระชายาสามรับเรื่องนี้ไปจัดการ
ประสบการณ์ตลอดหลายปีสอนให้เขารู้ว่าคดีคนหายนั้นไขยากเพียงใด
เวลาสิบสองชั่วยามแรกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคดีคนหาย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งวัน การจะหาคนคนนั้นให้เจอแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ผ่านมาสี่วันแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านั้นหายไปอยู่ที่ไหน
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมเข้าใจถึงกฎข้อนั้นเป็นอย่างดี คืนนั้นนางจึงปลอมตัวเป็นคนธรรมดา และเตรียมพร้อมที่จะไปยังที่เกิดเหตุ
พอนางหันหน้ากลับมา นางก็เห็นว่าองค์ชายยังคงนั่งอย่างสง่างามอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง เขายกขาทั้งสองข้างขึ้นนั่งไขว่ห้าง สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ไว้บนบ่าพร้อมกับอ่านม้วนกระดาษในมือด้วยท่าทางสบายๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น แล้วถามว่า ”ท่านจะไม่ไปกับข้าหรือ” การที่องค์ชายอนุญาตให้นางไปไหนมาไหนคนเดียวเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติทีเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยวางม้วนกระดาษในมือลง แล้วมองนางราวกับว่านางเพิ่งพูดเรื่องไร้สาระออกมา จากนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ ก่อนจะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดของตัวเอง เขาสั่งอย่างเป็นนิสัยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า ”ค่อยไปหลังจากกินข้าวเสร็จ”
“ได้เลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยปล่อยให้เขาลูบมือนาง ก่อนจะหาวออกมาอย่างเกียจคร้าน ”ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้ข้ากินมากกว่าปกติ ท่านคิดว่าข้าดูอวบขึ้นหรือเปล่า”
รอยยิ้มจางวาดขึ้นบนริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ฝ่ามือใหญ่ของเขาคว้าเนื้อนุ่มของนางจากทางด้านหลัง แล้วกระซิบเบาๆ ภายใต้ลมหายใจอุ่นร้อนว่า ”เจ้าอวบขึ้นจริงๆ”
“ท่าน…” เฮ่อเหลียนเวยเวยนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่มีทางหนี หัวใจของนางเต้นระรัว
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะปล่อยนางไป เขาใช้นิ้วยาวบีบร่างของนางเบาๆ พร้อมกับใช้ริมฝีปากนุ่มปัดผ่านใบหูของนาง จากนั้นเขาก็เริ่มพรมจูบลงมาตามลำคอของนางอย่างช้าๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหอบหายใจแล้วใช้มืออันสั่นเทาห้ามเขาเอาไว้
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่หยุด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเพิ่มความแรงขึ้นอีก
นางรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ร่างกายของนางก็ถูกความอบอุ่นของเขากลืนกินจนอ่อนยวบไปทั้งตัว…