องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 689 คิดจะจับกุมองค์ชายหรือ โง่เขลานัก!
ไม่มีวิญญาณร้าย เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันทันทีถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วหนูพวกนี้ยังวิ่งอยู่ได้อย่างไร
แม้นางจะไม่เข้าใจพฤติกรรมผิดธรรมชาติของหนูพวกนี้ แต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบนถนนสายนี้มีบางสิ่งที่เล็ดลอดสายตาของพวกเขาไป
แต่เจ้าสิ่งที่ว่านั่นมันคืออะไรกัน
แม้กระทั่งองค์ชายก็ยังสัมผัสถึงมันไม่ได้หรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันหน้ากลับมา แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า ”มีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งนี้จะคล้ายกับผู้อาวุโสซวีอู๋ เป็นสิ่งที่จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง อีกทั้งมันยังทำให้อากาศโดยรอบส่งกลิ่นเหม็นอีกด้วย”
กลิ่นเหม็นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดจมูกสองสามครั้ง แต่นางก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
อีกด้านหนึ่ง สุนัขล่าเนื้อตรงหน้านางพยายามดมกลิ่นที่อยู่ตามพื้น แต่ก็ไม่เป็นผล
พวกเขาไม่อาจรอเฉยอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเตือนให้เหยียนหลิ่วเอ๋อร์พกยันต์ผ้าเหลืองติดตัวเอาไว้เสมอก่อนที่นางจะบอกลาเหยียนหลิ่วเอ๋อร์และมารดาของนางอย่างมีมารยาท เมื่อเดินมาถึงทางเข้า นางจึงเอ่ยเสียงเบาว่า ”ไปกันเถอะ เสี่ยวเฮย”
จากนั้นสุนัขล่าเนื้อก็เงยหน้าขึ้น แล้ววิ่งไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย
สุนัขหมาป่าตัวน้อยที่อยู่ในลานเริ่มส่งเสียงเห่าขึ้นมาอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกเดินโดยไม่ได้หันกลับไปมอง ซอยแห่งนี้สร้างจากถนนที่ทอดตัวออกไปอย่างผิดปกติ มันนำพวกเขามุ่งตรงเข้าสู่ความมืด เดิมทีนั้นพวกเขาต้องใช้เวลาประมาณครึ่งก้านธูปจากบ้านของตระกูลเหลียนเพื่อไปให้ถึงปากซอย แต่ด้วยความช่วยเหลือจากมารดาของหลิ่วเอ๋อร์ พวกเขาจึงสามารถหาทางลัดได้ ถนนทั้งเส้นมืดสนิท แต่เดินไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็ถึงปากซอย ดังนั้นโดยปกติแล้วคนในพื้นที่จึงมักจะใช้เส้นทางลัดเส้นนี้…
ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ของทางการจึงมองทุกสิ่งผิดไปตั้งแต่ต้น
หากไม่มีข้อมูลจากคนในพื้นที่ เสนาบดีจากกรมขุนนางย่อมไม่มีทางรู้ว่ามีทางลัดนี้อยู่ ดังนั้นความคืบหน้าในการสืบสวนของพวกเขาจึงล่าช้ามาก
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยจับจ้องอยู่ที่เส้นทางลัดอันเงียบสงัดและมืดมิด หากรวมตระกูลเหยียนเข้าไป ที่ซอยนี้จะมีตระกูลอยู่ทั้งหมดเก้าตระกูลด้วยกัน ทุกตระกูลก็ไม่มีอะไรนอกจากบ้านหลังเล็กหน้าตาธรรมดากับประตูไม้ลงกลอนบานหนึ่ง บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบอย่างมาก
จวนตระกูลจางที่มารดาของหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถึงก็อยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน มันตั้งอยู่ที่บริเวณหน้าปากซอย และมีประตูสีแดงโดดเด่นสะดุดตากับรูปปั้นสิงโตหิน เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่นๆ ในซอยแล้ว ที่แห่งนี้นับว่าค่อนข้างโอ่อ่าเลยทีเดียว
สุนัขล่าเนื้อสาวเท้าออกเดินพร้อมกับบรรยากาศอันไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ขนสีดำของมันกลมกลืนไปกับเงามืดนั้นได้อย่างแนบเนียน
ทันใดนั้นมันก็หยุดเดิน แล้วเงยหน้าขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเดินเช่นกัน ดวงตาของนางหันไปจับจ้องยังสิ่งที่สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นกำลังมองอยู่
จากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา ข้ารับใช้ที่เดินตามหลังเขามาติดๆ เอ่ยอ้อนวอนเขาว่า ”นายน้อยขอรับ นายท่านอยากให้ท่านอยู่ที่จวนสักสามสองวันและรอจนกว่าเจ้าหน้าที่จากกรมขุนนางจะทำการตรวจสอบเรื่องนี้เสร็จนะขอรับ ถ้ามีเจ้าหน้าที่คนใดเห็นท่านเข้าละก็…”
“เลิกจู้จี้เสียที! ข้าอยู่แต่ในจวนมาสามวันแล้ว และข้าก็เบื่ออย่างมาก! ทำไมข้าจะออกมาเดินเล่นนอกจวนบ้างไม่ได้” ชายในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ปัดมือข้ารับใช้ออกอย่างหมดความอดทน เมื่อเขาหันมา สายตาของเขาก็สบเข้ากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและเฮ่อเหลียนเวยเวย
ในไม่ช้าสายตาของเขาก็เคลื่อนไปจับจ้องที่ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า ”แล้วบัณฑิตไส้แห้งท่าทางอวดรู้สองคนนี้มาจากไหนอีก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักฝีมือในการจุดไฟแห่งความเกลียดชังขององค์ชายเป็นอย่างดี แค่ใบหน้าหล่อเหลาชวนตะลึงของเขาเพียงอย่างเดียวก็มากเกินพอที่จะทำให้ผู้ชายทุกคนเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาขึ้นมาได้
แต่ไส้แห้งและอวดรู้หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ช่างโง่เขลาเสียไม่มี
ชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่หน้าปากซอย เขาเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับปรายตามองด้านหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจทั้งสองขึ้นเรื่อยๆ เขาทำราวกับว่าทั้งสองเป็นแค่คนรับใช้ของเขา ”เจ้าไปที่บ้านตระกูลเหยียนมาอีกแล้วหรือ เหอะ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเดี๋ยวนี้พวกเจ้าถึงได้โง่เง่ากันนัก”
ขณะพูด ชายคนนั้นก็สาวเท้าออกมาสองก้าว แล้วหยุดอยู่ห่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในระยะห่างเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว ”ข้าจะเตือนอะไรให้ พวกเจ้าไม่มีวันเอาชนะข้าได้หรอก ยอมแพ้ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า เลิกคิดว่าตัวเองสูงส่งเพียงเพราะเรียนหนังสือและรู้อะไรแค่อย่างสองอย่าง ดูเสื้อผ้าซอมซ่อที่เจ้าสวมอยู่นี่สิ ข้าเดิมพันเลยว่าต้องไม่มีหญิงสาวคนใดอยากแต่งงานกับเจ้าแน่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ความจริงแล้วเขาทำเพียงแค่เลิกคิ้วสวยของตัวเองขึ้นพร้อมกับใช้มือซ้ายจัดแขนเสื้อข้างขวาโดยไม่สนใจ
ตอนนั้นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเสี่ยวเฮยกระโจนเข้าใส่ผู้ชายคนนั้นอย่างดุร้าย มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนขนลู่ไปกับสายลม แล้วฝังเขี้ยวของมันเข้ากับขาของเขาในชั่วพริบตา!
“อ๊าก!”
ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด ก่อนจะคุกเข่าทรุดลงกับพื้นแล้วงอขา เขาหันมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนโดนอะไรสักอย่างกัดเข้า
เมื่อเห็นนายน้อยของตัวเองลงไปนั่งคุกเข่า ข้ารับใช้คิดว่าผู้เป็นนายน่าจะลื่นเพราะพื้นหิมะ ดังนั้นเขาจึงรีบพยุงเขาขึ้นแล้วถามว่า ”นายน้อยเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”
เสียงเอะอะโวยวายปลุกให้คนในละแวกนั้นตื่น ทุกคนต่างชะโงกหน้าออกมาดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มรู้สึกอับอาย ดังนั้นเขาจึงยกขาขึ้นขวางทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”เฮ้ย เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาซุ่มโจมตีข้า! เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร ถ้าเจ้าไม่คุกเข่าลงขอขมาข้า วันนี้เจ้าไม่มีทางได้ออกไปจากที่นี่แน่!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินผ่านเขาไปโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเลยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มไม่เคยพบคนที่กล้าเมินเขาเช่นนี้มาก่อน ”ไปเรียกเจ้าหน้าที่พวกนั้นมาที่นี่เดี๋ยวนี้ บอกพวกเขาว่าข้าเจอตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว และข้ามีเบาะแสให้กับพวกเขาด้วย!” เขาขู่
“แต่ นายท่านสั่งว่า…” ข้ารับใช้พยายามเกลี้ยกล่อมผู้เป็นนายของตัวเอง
ชายหนุ่มเยาะเย้ยขึ้นว่า ”ท่านพ่อต้องการให้เจ้าช่วยทำให้ข้าพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ตอนนี้มีคนที่น่าสงสัยยิ่งกว่าข้าแล้ว เจ้ายังจะกังวลอะไรอีก พาท่านพ่อของข้ามาที่นี่ด้วย แล้วมาดูกันว่าเจ้าพวกนี้จะหนีไปได้อย่างไร!”
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยดำมืดทันทีที่นางได้ยินคำพูดนั้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง ก่อนที่นางจะกระตุกแขนเสื้อขององค์ชายแล้วใช้กระแสจิตสื่อสารกับเขาว่า ‘ดูเหมือนเขาจะมีภูมิหลังที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว’
‘เขาคือคุณชายรองจาง’ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้มาตลอดว่าองค์ชายเป็นคนเฉลียวฉลาด ดังนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมเดาได้ถูกต้อง ไม่ใช่แค่นั้น นางยังรู้อีกด้วยว่ายิ่งองค์ชายพูดช้าเท่าใด แผนการที่เขากำลังวางไว้ก็จะยิ่งโหดร้ายขึ้นเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะไว้ทุกข์ให้กับคุณชายรองจาง เพราะนางรู้ว่าเขาคงได้ตายในเร็ววันนี้เป็นแน่
นางกลับรู้สึกสงสารนายท่านจางเสียมากกว่า เพราะเขาน่าจะไม่อาจรักษาตำแหน่งขุนนางของตัวเองไว้ได้…
เฮ้อ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองคุณชายรองจาง แล้วคิดกับตัวเองว่า หมอนี่ก็แค่คนโง่ที่รู้จักแต่สร้างปัญหาให้กับพ่อตัวเอง
ชาวบ้านมองมาที่พวกเขาเช่นกัน เหยียนหลิ่วเอ๋อร์จำได้ทันทีว่าชายที่กำลังหาเรื่องพวกเขาอยู่คือคุณชายรองจาง เขาเป็นหนึ่งในคุณชายสองคนที่มาเยี่ยมเยือนบ้านของนางเมื่อไม่นานมานี้ นางรีบวิ่งเข้าไปช่วยไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว
“ นายน้อยจาง พวกเขาไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยเจ้าค่ะ เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เมื่อครู่นี้ทั้งนางและองค์ชายต่างก็ปกปิดพลังปราณของตัวเองเอาไว้เพราะกลัวจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
พวกนางมั่นใจว่าผู้ก่อเหตุจะต้องอยู่ในตระกูลใดตระกูลหนึ่งภายในซอยแห่งนี้แน่!