องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 692 เข้าพบเสนาบดีกรมขุนนาง และการตบหน้าฉาดที่สาม
- Home
- องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!
- บทที่ 692 เข้าพบเสนาบดีกรมขุนนาง และการตบหน้าฉาดที่สาม
“ขอรับ!” ทหารสองสามนายก้าวเข้ามา แล้วล้อมพวกเขาเอาไว้อีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกยิ้มอย่างดูถูกพลางหันหน้าไปมองหน้าองค์ชาย ความเย็นชาแผ่ออกมาจากแววตาลึกลับในดวงตาเรียวยาวของเขา
ก่อนมาที่นี่ เฮ่อเหลียนเวยเวยแวะไปทักทายเสนาบดีของกรมขุนนางมาแล้ว เพื่อที่เขาจะได้จับตาดูผู้ใต้บังคับบัญชา และลงมาสอบสวนคดีนี้ด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้ใต้เท้าจางกลับยืนกรานที่จะควบคุมตัวพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการพาพวกเขาไปพบเสนาบดีจากกรมขุนนางแล้วปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อปกป้องบุตรชายของตัวเอง
หึ ช่างโง่เขลานัก
สถานการณ์ที่มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมากเช่นนี้ย่อมเป็นการยากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยและองค์ชายจะลงมือก่อนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ต้องรอจนกระทั่งได้พบใต้เท้าหลี่ แล้วจึงค่อยส่งตัวพ่อลูกคู่นี้ให้กับเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวออกมาหลายครั้งพร้อมกับเดินไปข้างหน้า
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์พยายามเขย่งเท้าสุดความสามารถเพื่อจะได้มองเห็นพวกเขา สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางไม่อยากคลาดสายตาจากเขาแม้แต่ครู่เดียว
ภาพนี้ยิ่งทำให้ดวงตาของจางอวี้ดำทะมึน เขาพยายามบอกใบ้ให้เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้ตัวอยู่หลายครั้ง แต่นางก็ไม่เคยมอบโอกาสให้กับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ทันทีที่เจ้าหน้าอ่อนนี่ปรากฏตัวขึ้น มันก็ได้รับความสนใจจากนางไปเต็มๆ
ความขมขื่นอัดแน่นอยู่ในหัวใจของจางอวี้
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรักเหยียนหลิ่วเอ๋อร์จริง
นางแค่บังเอิญตรงรสนิยมของเขาเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ความจริงที่ว่าเขาไม่เคยสามารถเอาชนะใจนางได้มาก่อนก็ยิ่งทำให้หัวใจของเขาทุรนทุรายอยู่ไม่สุข
ตอนนี้ เมื่อได้เห็นท่าทางที่นางใช้มองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็รู้สึกราวกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
เขาเป็นถึงนายน้อยของตระกูลจาง เขามีตรงไหนที่สู้กับเจ้าหน้าอ่อนนี่ไม่ได้หรือ!
จางอวี้หัวเราะเย้ยหยัน ในเมื่อเจ้าหน้าอ่อนนี่เป็นขวัญใจมหาชน เช่นนั้นเขาก็ยิ่งสมควรตาย ลำพังแค่เรื่องที่เขากล้าท้าทายข้าก็ทำให้พวกเขาทั้งสองคนสมควรกลายเป็นแพะรับบาปแล้ว!
ความคิดของใต้เท้าจางตรงไปตรงมามากกว่านั้น อย่างไรกรมขุนนางก็มีคดีอยู่ในมือมากมายหลายคดี ต่อให้ใต้เท้าหลี่จะลงมาสอบสวนคดีนี้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งสำคัญสำหรับคดีคนหายก็คือเรื่องของระยะเวลา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน
เขาเป็นขุนนางคนสำคัญที่รับผิดชอบคดีนี้ ดังนั้นหากเขาสามารถบิดเบือนเบาะแสที่มีอยู่ด้วยความระมัดระวัง เขาย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงหลักฐานได้โดยง่าย
ยิ่งกว่านั้น หากพิจารณาจากการแต่งกายของพวกเขาแล้ว สองคนนี้ก็ดูไม่เหมือนคนที่มาจากตระกูลผู้ทรงอิทธิพลแม้แต่นิดเดียว พวกเขากลับดูเหมือนชาวบ้านธรรมดาเสียมากกว่า ต่อให้พวกเขากลายเป็นแพะรับบาป ก็ใช่ว่าจะมีปัญหาใดตามมา
หากพวกเขาประพฤติตัวดี เขาก็อาจจะปล่อยตัวทั้งสองออกมาปีหน้าโดยอ้างว่ามีหลักฐานไม่เพียงพอ
แต่ถ้าพวกเขายังประพฤติตัวไม่เหมาะสมเหมือนอย่างที่ทำในวันนี้ เช่นนั้นมันก็คงไม่มีความจำเป็นให้เขาต้องทำตัวเป็นคนดีมีศีลธรรมอีกต่อไป อย่างไรเมืองหลวงก็มีคนอยู่มากมาย จะมีคนตายไปสักคนสองคนก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่
ใต้เท้าจางคิดว่าแผนการที่เขาวางไว้ช่างยอดเยี่ยมเสียไม่มี เมื่อได้ตัวผู้ต้องหามาอยู่ในมือ บุตรชายสุดที่รักของเขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข้อสงสัย และสามารถก้าวออกจากบ้านได้ในที่สุด ไม่เพียงแค่นั้น เขายังจะได้รับความดีความชอบจากใต้เท้าหลี่อีกด้วย แล้วทำไมเขาถึงจะไม่ทำตามแผนการนี้เล่า
จางอวี้รู้เจตนาของผู้เป็นบิดาดี เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่อีก เขาก็ลดเสียงลงถามอีกฝ่ายว่า ”ท่านพ่อ ใต้เท้าหลี่จะไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ขอรับ”
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป ไม่มีใครกล้าปากโป้งเรื่องเจ้าแน่ แต่อวี้เอ๋อร์ หลังจากจบเรื่องนี้เจ้าควรอยู่เงียบๆ สักระยะหนึ่ง เลิกติดต่อกับผู้หญิงไร้ค่าในซอยนี้ซะ! ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเที่ยวสนุก และข้าไม่เคยว่าอะไรเรื่องนั้น แต่เจ้าก็ได้ยินแล้วว่าแม่เฒ่าจางพูดถึงเจ้าว่าอย่างไร เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจที่จะโยนความผิดให้กับเจ้า มันเป็นวิธีการที่คนยากจนพวกนี้มักใช้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ พวกเขามักจะฝันกลางวันถึงสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริงได้โดยไม่รู้จักดูฐานะของตัวเอง…”
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยฟังสองพ่อลูกคุยกัน สายตาของนางก็เริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันแทบจะสามารถฆ่าคนได้
ใต้เท้าจางไม่ทันสังเกตเห็น เพราะเขามัวแต่ง่วนอยู่กับการตักเตือนบุตรชายของตัวเอง ตรงกันข้าม เขากลับทำเพียงแค่จัดหมวกของตัวเองให้ตรงแล้วควบคุมตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปที่จวนตระกูลหลี่ด้วยท่าทางมั่นใจ
ใต้เท้าหลี่ผู้เป็นเสนาบดีของกรมขุนนางอยู่ในห้องหนังสือ เขารู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่สุข เขาแทบไม่มีเวลาพัก ไม่ใช่เพียงเพราะเขาจำเป็นต้องตรวจสอบความคืบหน้าของคดีนี้ แต่ยังเป็นเพราะคำพูดของพระชายาสามที่วิ่งวนอยู่ในหัวของเขาอีกด้วย
เขานับเวลาและคิดกับตัวเองว่า ป่านนี้องค์ชายกับพระชายาน่าจะไปถึงซอยนั้นแล้วใช่หรือไม่?
คนที่เขาส่งไปไม่ได้ข่าวคราวอันใดกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว
เขาไม่สามารถบอกคนอื่นได้เช่นกันว่าเขาสั่งให้คนของตัวเองจับตาดูซอยแห่งนั้นเอาไว้ตลอดเวลา เพียงเพราะต้องการให้มั่นใจว่าองค์ชายกับพระชายาจะปลอดภัย
ถึงแม้ว่าองค์ชายจะไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปกป้องก็ตาม
แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับองค์ชายจริงๆ ล่ะ
ต่อให้เขามีเก้าหัว ก็คงไม่พอให้ถูกตัด
อดีตฮ่องเต้ย่อมต้องการชีวิตเขาอย่างไม่ต้องสงสัย และแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานของเขาก็ยังชื่นชมบูชาองค์ชายสามหลังจากการประลองขับไล่วิญญาณร้ายครั้งนั้น
และยังมีแม่ทัพอู่จิ้งที่เอาแต่พร่ำพูดถึงฝีมือการต่อสู้ขององค์ชายด้วยใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความตื่นเต้นนั่นอีก ท่าทางของเขาเหมือนหญิงสาวเวลาได้พบคนรักไม่มีผิด ถ้าอู่จิ้งรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับองค์ชายในพื้นที่ที่เขารับผิดชอบละก็ เขาคงได้ใช้ขวานเล่มใหญ่นั่นพลิกที่แห่งนี้จากหน้าเป็นหลังแน่!
ยิ่งคิด เสนาบดีประจำกรมขุนนางก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้น เขาคว้าตัวเด็กรับใช้เข้ามาถามว่า ”เป็นอย่างไรบ้าง มีคนที่น่าสงสัยไปที่ซอยนั้นหรือเปล่า”
เด็กรับใช้มองคอเสื้อตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายกระชากขึ้น ”นายท่าน ท่านถามคำถามนี้มาเจ็ดแปดครั้งแล้วนะขอรับ” ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม เขาก็วิ่งไปวิ่งมาจนขาแทบหักแล้ว
“ตกลงว่ามีหรือไม่มี” โดยปกติแล้วเสนาบดีประจำกรมขุนนางเป็นคนใจเย็น แต่วันนี้เขากลับดูหงุดหงิดเป็นพิเศษ
“ไม่มีขอรับ” เด็กรับใช้ส่ายหน้าแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อรายงานเรื่องอื่น เขาเอ่ยต่อด้วยท่าทางเคารพว่า ”นายท่านขอรับ ใต้เท้าจางมาขอพบท่านขอรับ เขาบอกว่าเขาได้หลักฐานและได้ตัวผู้ต้องหามาแล้ว ตอนนี้เขากำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงขอรับ”
เมื่อใต้เท้าหลี่ได้ยินว่าจับตัวผู้กระทำผิดได้แล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที เขารีบตรงไปที่ห้องโถงพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า!
ในเวลาเดียวกัน ใต้เท้าจางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับถือถ้วยชาไว้ในมือ เมื่อเขาคิดว่าตัวเองกำลังจะได้พบใต้เท้าหลี่ในไม่ช้า เขาก็รู้สึกว่านี่ช่างเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำผลงานต่อหน้าอีกฝ่ายเพื่อเลื่อนตำแหน่ง เขาถึงขั้นเตรียมบทพูดเอาไว้ในสมองเลยด้วยซ้ำ
จางอวี้นั่งอยู่ข้างใต้เท้าจางพร้อมกับมองไปรอบๆ อย่างสุภาพ แตกต่างจากตอนที่เขาอยู่ในซอยนั้นลิบลับ ”สมกับเป็นจวนของเสนาบดีแห่งกรมขุนนางจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจเสียงดัง
ตระกูลของพวกเขาเองก็ร่ำรวยพอตัว แต่ยิ่งขุนนางมีตำแหน่งสูงเพียงใด ที่อยู่อาศัยของพวกเขาก็จะยิ่งใหญ่โตขึ้นเท่านั้น
เขารู้จักคุณชายอยู่หลายคนในเมืองหลวง แต่ส่วนมากคนพวกนั้นถ้าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับบิดาของเขา ก็จะอยู่สูงกว่าเล็กน้อย ดังนั้นจวนของพวกเขาจึงมีขนาดใกล้เคียงกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นจวนที่ใหญ่โตเช่นจวนของใต้เท้าหลี่
ระหว่างที่จางอวี้กำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง คนคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน เขายังอยู่ในชุดเครื่องแบบตัวเดิม
ใต้เท้าจางผุดลุกขึ้น แล้วค้อมตัวแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายทันที จางอวี้เลียนแบบผู้เป็นบิดาพลางเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า ”ใต้เท้าหลี่…”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางปรายตามองพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสดชื่นแจ่มใสว่า ”ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก ใต้เท้าจาง ข้าได้ยินว่าท่านจับกุมผู้ก่อเหตุที่อยู่เบื้องหลังคดีคนหายในซอยนั้นได้แล้วหรือ ผู้ก่อเหตุที่ว่านั่นอยู่ไหนล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหน”