องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 711 เวยเวยสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเอง
เสนาบดีประจำกรมขุนนางถามคำถามออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งได้ฟังคำสารภาพทั้งหมดจากหวังหลิง จากนั้นเขาก็นิ่งคิดไปครู่ใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงถามที่ปรึกษาส่วนตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เจ้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าขอเชิญพระชายาสามมาที่กรมของเราอย่างเป็นทางการเพื่อช่วยไขคดี”
“องค์ชายได้ฆ่าท่านแน่ขอรับใต้เท้า แล้วเขาก็จะจับกุมคนในตระกูลของท่านไปด้วย” ที่ปรึกษาตอบเขาราวกับปลงตก “ถ้าท่านอยากตาย เช่นนั้นก็ลองดูขอรับ”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ แต่เขาก็ยังอยากนำกระบวนการไขคดีของพระชายาไปเล่าให้คนในตำหนักทองฟัง สัญชาตญาณของเขาบอกว่าวิธีการสืบสวนคดีของนางย่อมมีอิทธิพลต่อลูกศิษย์ทุกคนในอนาคตอย่างแน่นอน
ดังนั้นในเช้าวันถัดมา ชาวเมืองแทบทุกคนทั่วทั้งเมืองหลวงจึงได้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซอยแห่งนี้
ภายในเวลาเพียงแค่วันเดียว นางก็สามารถไขคดีคนหายที่ไม่มีใครสามารถคลี่คลายได้กว่าสองสัปดาห์ลงได้โดยไม่ต้องใช้เส้นสายอันใด ผู้คนรู้สึกทึ่งกับมันสมองอันชาญฉลาดของนางอย่างมาก
บัณฑิตบางคนถึงขั้นจดบันทึกกระบวนการสอบสวนของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ในแบบเรียนเฉพาะทางเพื่อให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดเลยทีเดียว
เพราะเหตุการณ์นี้ บรรดาเสนาบดีที่เคยมองข้ามเฮ่อเหลียนเวยเวยในอดีตจึงเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางไปโดยสิ้นเชิง
“ไม่แปลกใจเลยที่อดีตฮ่องเต้จะยอมตกลงให้เฮ่อเหลียนเวยเวยอภิเษกสมรสกับองค์ชายสาม นางช่างเป็นคนที่น่าทึ่งยิ่งนัก!”
“ข้ายังจำนางตอนเป็นเด็กได้อยู่เลย นางดูยอมคนเกินไป แต่ดูนางในตอนนี้สิ จริงดังว่า เราไม่สามารถตัดสินใครจากรูปร่างหน้าตาได้จริงๆ”
“จริงแท้แน่นอนที่สุด!”
ไม่ว่าจะเป็นในวังหรือนอกวัง ทุกคนต่างก็ภูมิใจที่พวกเขามีพระชายาเช่นนาง
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ประมุขจากตระกูลอื่นๆ กลับมีความคิดที่ต่างออกไป
เดิมทีนั้นพวกเขายังไม่ได้ร้อนใจกันแต่อย่างใด
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ปัจจัยจากทั้งภายนอกและภายในย่อมส่งผลต่อสถานการณ์ในราชสำนักโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากเอง
หลังจากฮ่องเต้สวรรคต องค์ชายสามก็ยึดครองอำนาจ แต่เขากลับมีเฮ่อเหลียนเวยเวยคนเดียว ไม่มีคนอื่น
พวกเขาติดตามอดีตฮ่องเต้มาโดยตลอด และเคยช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้เอาไว้มาก
ส่วนหนึ่งในความสำเร็จขององค์ชายสามก็ล้วนแต่มาจากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของพวกเขา
จากมุมมองของพวกเขา หลังจากอดีตฮ่องเต้ใช้งานพวกเขาเช่นนี้แล้ว เขาย่อมไม่สามารถกำจัดพวกเขาทิ้งได้
แต่จวนผู้อาวุโสจบสิ้นแล้ว มิหนำซ้ำอำนาจทั้งหมดในเวลานี้ก็ล้วนแต่ตกอยู่ในมือของราชวงศ์อย่างสมบูรณ์
ตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องต่อสู้เพื่ออนาคตของตระกูล มิฉะนั้นทันทีที่องค์ชายสามขึ้นครองราชย์ ตระกูลเฮ่อเหลียนก็จะกลายเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุด และเป็นเพียงตระกูลเดียวที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดจากเรื่องนั้น
บุตรสาวของพวกเขาก็เกิดมาในตระกูลอันทรงเกียรติไม่ต่างกัน แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยอาจจะพิเศษไม่เหมือนใคร แต่บุตรสาวของพวกเขาเองก็ไม่เลวเหมือนกัน!
ทำไมคนที่ได้เสพสุขอยู่ในวังหลังอันใหญ่โตนั้นถึงมีแค่เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงคนเดียวล่ะ?
ในเมื่อองค์ชายสามไม่ฟังคำพูดของพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาก็จะรอจนกว่าอดีตฮ่องเต้จะกลับมา
พวกเขาแต่งกันมาก็นานมากแล้ว แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ตั้งครรภ์เสียที อดีตฮ่องเต้จะต้องร้อนใจกับข่าวนี้อย่างแน่นอน
หรือต่อให้อดีตฮ่องเต้จะไม่ร้อนใจ แต่องค์ชายสามก็ยังจำเป็นต้องมีทายาทตอนที่เขาขึ้นสืบทอดบัลลังก์ต่ออยู่ดี หรือไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องมีพระสนม นี่เป็นขนบธรรมเนียมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
เวลากลางคืน ณ ห้องบรรทมแห่งหนึ่งในตำหนักจิ่วฉง…
คืนนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจัดการอาหารมื้อที่สามเสร็จ มีทั้งปีกเป็ดย่างพริก ยำรากบัว รวมไปถึงซี่โครงเปรี้ยวหวาน ทั้งหมดถูกจัดใส่จานขนาดใหญ่แล้วจึงนำมาวางไว้บนโต๊ะไม้
เจ้าเจ็ดคุกเข่าอยู่ข้างๆ นางพร้อมกับแทะปีกเป็ดไปด้วย บางครั้งเขาก็จะหันไปแกล้งสุนัขล่าเนื้อเล่น ความคิดชั่วร้ายแล่นเข้ามาในหัวทันทีที่เขาเห็นศีรษะอันใหญ่โตของสุนัขตัวนั้น ดังนั้น เขาจึงเอ่ยถามว่า “พี่สะใภ้สาม ข้ากินมันได้หรือไม่ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสำลักน้ำ นางไอออกมาแล้วตอบทันทีว่า “ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ล่ะขอรับ” เจ้าเจ็ดถามต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่าจริงๆ แล้วมันน่าจะอยากถูกข้ากินนะขอรับ”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกเล็กน้อย แต่นางกลับทำเพียงหาวออกมาอย่างเกียจคร้าน แล้วตอบว่า “เจ้าคิดไปเองต่างหาก”
“เช่นนั้นข้าจะป้อนมันเยอะๆ และขุนมันให้อ้วนก่อนก็แล้วกัน พี่สามบอกว่ายิ่งอ้วนก็ยิ่งอร่อย” เด็กชายตัวน้อยพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและพยายามหยิบปีกเป็ดเพิ่มอีกชิ้นหนึ่งเพื่อนำไปป้อนให้กับสุนัขล่าเนื้อ
แต่เขากลับนึกไม่ถึงเลยว่าจานทั้งสามจานนั้นจะว่างเปล่า
“พี่สะใภ้สาม! อาหารหายไปไหนหมดขอรับ” เด็กชายตัวน้อยกวาดตามองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงนั่งลงไปกับเก้าอี้ยาวอย่างเกียจคร้าน แล้วเด็ดองุ่นออกมาสองสามลูก ก่อนตอบอย่างสบายๆ ว่า “มันก็ต้องถูกข้ากินไปหมดแล้วน่ะสิ ปีกเป็ดนี่ยังเผ็ดไม่พอ คราวหน้าถ้าเจ้าจะไปขโมยอะไรมาจากห้องเครื่อง อย่าลืมขโมยพริกมาด้วยล่ะ”
“ไม่เอาหรอกขอรับ ถ้าข้าขโมยพริกมา ข้าจะต้องถูกพี่สามจับได้แน่ๆ” เด็กชายตัวน้อยดูไม่เห็นด้วยนักขณะที่เขากล่าวถึงเรื่องนี้ จากนั้นเขาจึงเสริมว่า “พี่สะใภ้สาม ช่วงนี้ท่านกินจุทีเดียวนะขอรับ พี่สามสั่งให้ข้าดูแลท่าน และอย่าให้ท่านกินอะไรมากนักตอนกลางคืนเพราะมันไม่ดีต่อระบบย่อยอาหารของท่าน อย่างไรท่านกับข้าก็ต่างกัน ข้าสามารถย่อยทุกอย่างที่กินเข้าไปได้ แต่ตอนนี้ท่านกินมากไปแล้วนะขอรับ ถ้าพี่สามรู้เข้า เขาจะต้องให้ข้าเต้นเปลื้องผ้าอีกแน่ๆ แล้วข้าก็จะต้องตกเป็นตัวตลกในสายตาของขันทีทุกคน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเด็กชายตัวน้อยราวกับลูกน้อยที่อยู่ข้างเท้าแล้วก็รู้สึกขำขึ้นมา ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปอุ้มเขาขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ให้คนเห็นแก่กินอย่างเจ้านี่นะดูแลข้า เจ้าจะไม่ยิ่งเอาอาหารมาให้ข้ากินหรือ ข้ายังพอมีลูกอมรสส้มเหลืออยู่ เจ้าอยากกินไหม”
“พี่สะใภ้สามเก็บไว้กินเองเถอะขอรับ ข้ารู้ว่าท่านยังไม่อิ่ม หลังจากนี้ข้าค่อยไปจับปลาทองกินก็ได้ขอรับ วันพรุ่งนี้พอเสด็จปู่กลับมาแล้ว การขโมยปลาทองคงจะทำได้ยากยิ่งขึ้น” เด็กชายตัวน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่พูดจบ
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …เจ้ากำลังวางแผนที่จะยั่วโมโหอดีตฮ่องเต้อยู่หรือ คนที่เครียดเรื่องอาหารการกินมากถึงเพียงนี้ บนโลกนี้ก็คงมีแค่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่ระยะนี้ความอยากอาหารของนางก็มีมากขึ้นจริง อีกทั้งนางก็รู้สึกคอแห้งและหิวน้ำตลอดเวลา
ความรู้สึกกระหายน้ำอย่างประหลาดนี้ทำให้นางยากจะควบคุมความอยากอาหารของตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนจากท่าทางอันเกียจคร้านนั้นขึ้นมานั่งตัวตรง จากนั้นนางก็มองเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดพร้อมกับจมลึกสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง
“มีอะไรหรือขอรับ พี่สะใภ้สาม” เด็กชายตัวน้อยถามเสียงทุ้ม “ท่านยังหิวอยู่หรือขอรับ ถ้าท่านยังไม่อิ่ม ข้าจะไปขโมยอาหารจากห้องเครื่องมาให้เพิ่ม ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าขโมยปีกเป็ดพวกนั้นมา ข้าสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังทำซาลาเปาไส้เนื้ออยู่ มันหอมน่ากินมากเลยขอรับ ท่านสนใจหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สนใจคำพูดของเขา เพราะนางยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกแปลกๆ นั้นออกไปได้
ร่างกายของนางมีอาการผิดปกติเพราะใกล้คืนวันพระจันทร์เต็มดวงหรือ
ไม่ ไม่น่าใช่
ปฏิกิริยาของนางไม่ได้เป็นเช่นนี้ตอนคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ผ่านมา…
สุนัขล่าเนื้อเงยหน้าขึ้นมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาเป็นห่วงราวกับสัมผัสได้ถึงความกังวลในใจของผู้เป็นนาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปลูบศีรษะของมัน คิ้วสวยของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ความอยากอาหารที่ไม่สามารถเติมให้เต็มได้ไม่ว่านางจะกินไปเท่าไร และร่างกายที่รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา บางครั้งนางก็ไม่อยากขยับตัวเลยด้วยซ้ำ…
เดี๋ยวก่อนสิ!
ประจำเดือนครั้งล่าสุดของข้ามาเมื่อไหร่
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ดูเหมือนจะนึกอะไรออก พร้อมกันนั้นสมองของนางก็หมุนอย่างรวดเร็วเพื่อปะติดปะต่อปริศนาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน
สุดท้ายนางจึงวางถ้วยชาในมือลง จู่ๆ สีหน้าเฉลียวฉลาดและมักจะดูผ่อนคลายของนางก็เผยความประหลาดใจออกมาเป็นครั้งแรก…
สองเดือน ประจำเดือนข้าไม่มาสองเดือนแล้ว…
“พี่สะใภ้สามขอรับ” เด็กชายตัวน้อยมองนางอย่างงุนงง แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อย่าเศร้าไปเลยขอรับ ข้าจะไปเอาซาลาเปาไส้เนื้อจากห้องเครื่องมาให้ท่านเดี๋ยวนี้!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือเด็กชายตัวน้อย แล้วพูดอย่างยินดีว่า “ไม่จำเป็นหรอก เจ้าไปตามหมอหลวงมาให้ข้าที แต่อย่าบอกคนอื่นนะ”