องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 715 เหล่าขุนนางผู้โง่เขลา
“เดี๋ยวก่อน” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ฟังดูเร่งรีบแต่ประการใด เขาหันไปสั่งกับเงาทมิฬที่อยู่ข้างหลังว่า “ไปเอาเตาอุ่นมือมา”
เงาทมิฬพยักหน้าด้วยความเคารพ หลังจากได้เตามาเขาก็รีบกลับมาแทบจะในทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอบอุ่นอย่างมากเมื่อสิ่งนั้นถูกสอดเข้ามาในมือข้างซ้ายของนาง ส่วนมือข้างขวาก็มีไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับอยู่
แต่สายตาจากผู้คนโดยรอบกลับชัดเจนเกินไป ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังจ้องมองมาที่พวกเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่รอยยิ้มบางที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็ทำให้เขาดูหล่อเหลากว่าก่อนหน้านี้ยิ่งนัก
ขันทีซุนที่อยู่ข้างทั้งสองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่เขาเข้าใจมันเป็นอย่างดี
แม้องค์ชายจะมีท่าทีเฉยเมยตลอดการเดินทางนี้…
แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทั้งอดีตฮ่องเต้และเขาต่างก็กังวลว่าองค์ชายจะผันตัวเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นปีศาจ แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะยังเป็นคนเดิมอยู่ นอกจากนิสัยเย็นชาและพูดน้อยของเขาแล้ว เขาก็ยังดูอ่อนโยนกับพระชายาสามอย่างมาก
อดีตฮ่องเต้เองก็เข้าใจความหมายของหลานชาย เขาสบถขึ้นมาในใจว่า เจ้าเด็กนี่! จากนั้นจึงกวักมือเรียกเจ้าเจ็ดให้มานั่งบนที่นั่งด้านบนด้วยกัน
ตรงหน้าเสนาบดีทุกคนมีโต๊ะไม้ตัวเล็กถูกจัดเตรียมไว้แต่เช้าตรู่ ที่ด้านข้างมีนางกำนัลและขันทีเตรียมพร้อมที่จะรินเหล้าและจัดหาอาหารให้กับพวกเขา ทั่วทั้งบริเวณนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างมีชีวิตชีวา
แต่ยิ่งมีชีวิตชีวาเท่าใด จิตใจของใครบางคนก็ยิ่งสับสนวุ่นวายขึ้นเท่านั้น
หลังจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพาเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งลง เขาก็ใช้นิ้วเรียวสวยของตัวเองแกะเกาลัดแล้ววางมันลงในถ้วยของนาง ระหว่างที่เขากำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดมือตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ เสนาบดีสองคนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดของท้องพระโรงก็ลุกขึ้นยืน
พวกเขาล้วนแต่เป็นประมุขของตระกูลตัวเอง และยังเป็นคนที่เดินทางไปไหว้พระขอพรพร้อมกับอดีตฮ่องเต้อีกด้วย ทุกคนต่างดูมีความปีติยินดีกันถ้วนหน้า
“แม้ข้าจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ข้าก็นับถือในความกล้าหาญขององค์ชายอย่างมาก เขาสามารถยึดเมืองหลวงของเมืองเซวียนหยวนได้อย่างง่ายดาย แค่วันเดียว ฮ่องเต้ของพวกเขาก็ส่งหนังสืออุทธรณ์มาถึงอดีตฮ่องเต้ และยังยอมสละดินแดนทางตอนใต้ของเมืองเซวียนหยวนให้เราต่อหน้าทูตของตัวเอง เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! องค์ชายช่างชาญฉลาดอย่างยากจะหาใครเทียมได้”
“ใช่แล้ว เหล่าหลี่กับข้าถึงกับตกใจไปเลยทีเดียวตอนที่เราได้ยินเรื่องนั้น ว่ากันว่าวีรบุรุษส่วนใหญ่มักจะเป็นคนหนุ่มสาว เพียงแค่มองไปที่องค์ชายสามก็รู้แล้วว่าสถานะของจักรวรรดิจ้านหลงของเราบนแผ่นดินนี้จะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป!”
“โบราณว่าไว้ว่าบ้านเมืองมิอาจขาดผู้ปกครองได้ ตอนนี้เมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็เสด็จสวรรคตไปแล้ว ในฐานะที่ข้ากับเหล่าอู๋เป็นเสนาบดีที่รับใช้ฮ่องเต้มาถึงสามยุคสามสมัย ข้าจึงอยากเสนอชื่อให้องค์ชายสามขึ้นเป็นฮ่องเต้ต่อหน้าเสนาบดีทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้! ข้าคิดว่าคงไม่มีผู้ใดคัดค้านหากเราจะส่งต่อจักรวรรดิจ้านหลงให้กับองค์ชายผู้มีจิตใจดีงามและมากด้วยความสามารถเช่นเขา”
หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครคัดค้านกับความคิดนี้
แม้แต่คนขององค์ชายห้าก็ยังให้สัจจะสาบานว่าจะจงรักภักดีกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วนับประสาอะไรกับบรรดาเสนาบดีที่อยู่ข้างเดียวกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาตั้งแต่ต้น
ยิ่งกว่านั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยังเป็นองค์รัชทายาท ตอนนี้เมื่อฮ่องเต้สิ้นแล้ว การขึ้นครองราชย์ของเขาจึงนับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นธรรมดา
เสนาบดีทุกคนในท้องพระโรงยืนขึ้นก่อนจะทำการถวายบังคม เสียงสนับสนุนจากพวกเขาดังกึกก้องไปทั่ว
อดีตฮ่องเต้รู้สึกยินดีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเหลือเวลาอยู่อีกไม่มากนัก ดังนั้นการได้เห็นหลานชายสืบทอดบัลลังก์ต่อจึงไม่ต่างจากการเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายให้กับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนที่เขาจะเสด็จกลับมาถึงวังหลวง เสนาบดีหลายคนก็เคยเปรยเรื่องนี้เอาไว้
แต่เขาคิดว่าพวกเขาจะหารือเรื่องนี้กันอีกในสองสามวันให้หลัง
นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเอ่ยให้การสนับสนุนอีกฝ่ายขึ้นมาในวันนี้
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด” อดีตฮ่องเต้ยิ้มอย่างมีความสุข แม้เขาจะยังรู้สึกคลางแคลงใจอยู่เล็กน้อย แต่ความยินดีที่มีก็ลบล้างความรู้สึกสงสัยนั้นออกไปจนหมด เขามองไปรอบๆ แล้วจึงเอ่ยกับขันทีซุนว่า “การขึ้นครองราชย์เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรากฐานของบ้านเมืองมาโดยตลอด เจ้ากับใต้เท้าหลี่ควรเลือกวันมงคลมาให้ดี”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนก้มหน้าลงแล้วเอ่ยตอบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี
ทันทีที่บรรดาเสนาบดีได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็รู้ว่าจะต้องมีการขึ้นครองราชย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ นอกจากเสนาบดีจากสองตระกูลนั้น คนที่เหลือต่างก็กลับไปนั่งที่ของตัวเองแล้วเริ่มดื่มอวยพรให้กันและกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาเสนาบดีที่ติดตามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาตั้งแต่แรก
พวกเขาแตกต่างจากคนขององค์ชายพระองค์อื่น
พวกเขารู้ดีว่าฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาดมีลักษณะเช่นใด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนใจเย็น และมักจะปิดบังความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้เสมอ
เขาแตกต่างจากองค์ชายพระองค์อื่นที่สนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนอย่างมาก
พวกเขาระมัดระวังตัวอย่างมากตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เพราะแม้ว่าพวกเขาจะจงรักภักดีต่อองค์ชายสาม แต่พวกเขาก็จำต้องสงวนท่าที และไม่สามารถแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งกลางท้องพระโรงได้
พวกเขากลัวว่าฮ่องเต้จะเกิดความอิจฉาริษยาในตัวองค์ชาย และปฏิเสธที่จะมอบโอกาสใดๆ ให้กับเขา
ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ปฏิบัติกับองค์ชายสามอย่างไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่เขายังเด็ก
แม้เสนาบดีจะไม่ควรออกความเห็นกับการกระทำของราชวงศ์ แต่วิธีการต่างๆ ที่ฮ่องเต้แสดงออกให้เห็นก็ชัดเจนเกินไป
ถ้าอดีตฮ่องเต้ไม่เป็นเกราะป้องกันให้กับเขา องค์ชายสามอาจจะเอาชีวิตรอดมาถึงตอนโตไม่ได้ด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่วันที่พวกเขาประเมินพลังปราณขององค์ชายสาม ความริษยาที่ฮ่องเต้มีต่อเขาก็มักจะแฝงอยู่ในการกระทำประจำวันของเขาเสมอ
หากเป็นในตระกูลอื่น คนที่มีทั้งเกียรติยศและชื่อเสียงเช่นนี้ย่อมได้รับการชื่นชมยกย่อง
แต่ในราชวงศ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แม้จักรวรรดิจ้านหลงจะให้ความสำคัญกับเรื่องวรยุทธ์ และองค์ชายสามจะได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาทที่มีสิทธิ์ในการสืบทอดบัลลังก์ แต่คนในวังหลวงก็มักจะอิจฉาผู้มีพรสวรรค์อยู่เสมอ
พวกเขาเกือบถูกต้อนเข้าสู่ความสิ้นหวังในเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้น ทั้งยังทำได้เพียงแค่เฝ้ามองฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องต้องตกอับโดยไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก
แต่องค์ชายสามกลับค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่พวกเขาคาดไม่ถึง
ไม่ใช่แค่ตัวตนของเขาจะไม่อ่อนแอลง แต่เขายังกลายเป็นองค์ชายที่ลึกลับที่สุดของจักรวรรดิจ้านหลงอีกด้วย
ใช้เวลาเพียงไม่นาน กรมทั้งหกก็ค่อยๆ ตกมาอยู่ในกำมือของเขา แม้กระทั่งบรรดาขุนนาง ทหาร และฮ่องเต้จากเมืองข้างเคียงก็ยังหวาดกลัวต่อการมีอยู่ขององค์ชายพระองค์นี้
ตอนนี้ความพยายามของเขาก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว ในที่สุดองค์ชายก็จะได้ขึ้นครองราชย์ แล้วจะไม่ให้พวกเขามีความสุขได้อย่างไร
แต่เสนาบดีทั้งสองคนกลับไม่ได้มีความคิดเช่นเดียวกันกับพวกเขา
พวกเขาเสนอให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรีบสืบทอดราชบัลลังก์ก็เพื่อให้บุตรสาวของตนได้แต่งงานกับเขา และรักษาอำนาจของตระกูลเอาไว้
สถานการณ์ปัจจุบันชัดเจนถึงขนาดนี้ ต่อให้พวกเขาจะไม่สนับสนุนให้องค์ชายสามเป็นฮ่องเต้ แต่ในไม่ช้าเขาก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์อยู่ดี
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้องค์ชายสามเชื่อว่าสามารถเอาชนะใจพวกเขาได้ จากนั้นการหยิบยกเรื่องการคัดเลือกพระสนมขึ้นมาพูดก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา
เสนาบดีทั้งสองวางแผนการมาอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาสบตากัน ก่อนหนึ่งในนั้นจะเอ่ยขึ้นว่า “ระยะนี้วังหลวงไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก กระหม่อมคิดว่าน่าจะมีเรื่องน่ายินดีนำโชคดีเข้ามาบ้าง”
“มีเหตุผลทีเดียว” เสนาบดีอีกคนพูดขึ้นพร้อมกับมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย “ในความคิดของกระหม่อม วังหลวงยังขาดบรรยากาศอันมีชีวิตชีวาอยู่ อย่างไรพระชายาก็อภิเษกสมรสกับองค์ชายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว องค์ชายเองก็ยุ่งอยู่กับงานทุกวัน กระหม่อมจึงคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่เราจะหาผู้หญิงสักคนมาช่วยปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าให้กับท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมัวแต่กินเกาลัดที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแกะให้ จึงยังไม่มีโอกาสได้บอกองค์ชายว่านางตั้งครรภ์แล้ว แต่คนพวกนี้กลับกังวลเรื่องครรภ์ของนางยิ่งกว่านางเสียอีก
หึ ช่างโง่เขลายิ่งนัก