องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 726 องค์ชายหน้าเนื้อใจเสือ
ตอนที่กิเลนอัคคีกับชิงหลงเจอตัวเจ้าเจ็ด เขากำลังจับปลาทองให้เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่
ทันทีที่เห็นชิงหลง เจ้าเจ็ดก็ส่งปลาทองให้กับขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงมองไปที่ชิงหลงด้วยสายตาแหลมคม ใบหน้าเล็กๆ ของเขาดูจริงจังอย่างมาก
สายตาของเจ้าเจ็ดทำให้ชิงหลงรู้สึกคันยุบยิบ มันขนลุกซู่ขณะที่ถามเขาว่า “เจ้ากำลังทำอะไร”
“ก็จับเจ้าไปป้อนให้หลานข้ากินน่ะสิ” เด็กชายตัวน้อยตอบอย่างเอาจริงเอาจัง พี่สะใภ้สามบอกว่าหลังจากเด็กคนนี้เกิด เด็กคนนี้จะเรียกเขาว่าท่านอา เขาจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริงในอนาคต และเขาจะต้องดูมีอำนาจให้มากกว่านี้
ชิงหลงคิดว่าเขาได้ยินอะไรผิดไป เขาจึงถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า ’ป้อน’ หรือ”
กิเลนอัคคีกลั้นขำขณะเอ่ยขึ้นว่า “มังกรย่อมเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีสำหรับพระชายาไม่ผิดแน่ กินเจ้าตัวเดียวคงเท่ากับกินแกนกลางมังกรจำนวนนับไม่ถ้วน ดูเหมือนอสูรกลืนเวหาจะยังทรงพลังเหมือนเดิม”
“ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่รู้ต่างหากว่าการกินเจ้าก็เท่ากับการกินเห็ดหลินจือจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนกัน” ชิงหลงกลอกตา
หลังจากเจ้าเจ็ดได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เขาก็หยิบเชือกตรึงอสูรออกมามัดพวกเขาไว้ทันที ระหว่างที่มัดเชือกอยู่นั้น เขาก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสองตัวล้วนมีประโยชน์ ข้าก็จะจับเจ้าทั้งคู่มาป้อนให้หลานกิน”
ชิงหลงกับกิเลนอัคคี : …
“ปล่อยข้า!”
“ใครเป็นคนเอาเชือกตรึงอสูรให้เขา คนพวกนั้นไม่รู้หรือว่าเขาจะใช้มันจับทุกอย่างมากินจนไม่เหลือ!”
“ต้องเป็นฝีมือนายท่านแน่ๆ! อ๊าก!”
เจ้าเจ็ดเห็นว่าเหยื่อที่จับได้ในครั้งนี้ส่งเสียงดังหนวกหูเกินไป เขาจึงขมวดคิ้วเล็กๆ เข้าหากัน แล้วเตือนว่า “อยู่เงียบๆ อย่ารบกวนคนอื่น”
เป็นอีกครั้งที่ชิงหลงและกิเลนอัคคีถึงกับพูดไม่ออก พวกเขาย่อมไม่สามารถอยู่เงียบๆ ได้ พวกเขากำลังจะถูกกินอยู่แล้ว แล้วพวกเขาจะอยู่กันเงียบๆ ได้อย่างไร!
“นายท่านบอกว่าเราต้องรู้จักฝึกมารยาทการกินให้ดี อย่าบังคับให้ข้าต้องทำให้เจ้าเงียบด้วยตัวเองจะดีกว่า” เจ้าเจ็ดหันกลับมาแล้วส่งสายตามองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเป็นการเตือน
กิเลนอัคคีส่งเสียงร้องขึ้นจากทางด้านหลังว่า “เจ้าทำไปแล้วต่างหาก!”
“ทุบตีเจ้าไม่นับ” เจ้าเจ็ดรีบตอบพร้อมกับลากทั้งสองไปข้างหน้า
เส้นเลือดของชิงหลงปูดโปนจากความโกรธที่เต้นตุบๆ ถ้าการตีไม่นับ เช่นนั้นอะไรล่ะที่จะนับ!
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าที่ยืนกรานให้เรามาหาอสูรกลืนเวหานี่!” แม้กิเลนอัคคีจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากเชือกตรึงอสูรของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ เขาทำได้แค่ดิ้นไปดิ้นมาอยู่ข้างๆ ชิงหลงเท่านั้น
บัดซบ! ชิงหลงชักอยากอัดเด็กชายตัวน้อยที่กำลังลากพวกเขาอยู่ขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว ใครก็ได้หยุดเจ้าคนเห็นแก่กินนี่ที! คนพวกนั้นมองไม่เห็นหรือว่าเขากำลังลากสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตั้งสองตัวอยู่!
แน่นอนว่าขันทีและนางกำนัลต่างก็เห็นภาพนั้น แต่พวกเขาชินกับนิสัยการบริโภคอาหารของเจ้าเจ็ดเป็นอย่างดี อีกทั้งช่วงนี้องค์ชายเจ็ดก็มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเขาจะพามังกรกลับมาให้ได้ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถจับมังกรที่ว่านั่นได้แล้ว นอกจากความชื่นชมที่มี พวกเขาก็ไม่คิดที่จะขัดขวางเขา
เจ้าเจ็ดก้าวยาวๆ อย่างกระตือรือร้นจนกระทั่งไปถึงตำหนักจิ่วฉง เขาโยนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวลงตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าจับพวกมันได้แล้วขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังกินสตรอว์เบอร์รีอยู่ แต่เมื่อนางเห็นชิงหลงกับกิเลนอัคคีกำลังใช้กรงเล็บขูดพื้นอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่ภายในเชือกตรึงอสูร นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง และถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
กิเลนอัคคีทนไม่ไหวอีกต่อไป มันจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง แต่ประเด็นสำคัญที่เขาอยากให้นางรู้ก็คือเรื่องที่อสูรกลืนเวหาเป็นคนไร้เหตุผลเพียงใด
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างนึกไม่ถึง แล้วถามช้าๆ ว่า “ไปยมโลกเพื่อจับวิญญาณคนตายหรือ”
ตอนนั้นเองที่กิเลนอัคคีเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่มีทางปล่อยเรื่องที่นางสนใจไปง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นนางก็ยังเป็นคนเฉลียวฉลาด ดังนั้นนางจึงพอจะเดาจุดประสงค์ของพวกเขาออก
“วันนี้หมอหลวงหลิวไปพบองค์ชายมาหรือ”
กิเลนอัคคียังคงเงียบ ชิงหลงเองก็เงียบตามมันไปด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วกล่าวเสริมขึ้นว่า “เจ้าภักดีต่อองค์ชายอย่างมาก และข้าเองก็ชื่นชมในเรื่องนั้น แต่ข้าชื่นชมคนที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ เจ้าเจ็ด เจ้าไปเตรียมฟืน ข้าว่าชิงหลงกับกิเลนอัคคีคงอยากคุยกับเราจากในหม้อที่น้ำกำลังเดือดมากกว่า”
พูดง่ายๆ ก็คือ นางตั้งใจที่จะจับพวกเขาไปทำอาหารนั่นเอง
ชิงหลงกับกิเลนอัคคีมองหน้ากัน แต่พวกมันกลับดูเยือกเย็นเป็นอย่างมาก อย่างไรพวกมันก็หนังหนา ดังนั้นต่อให้ถูกต้มไปสักพักก็คงไม่มีปัญหา
แต่คำพูดประโยคถัดมาของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกมันได้ “จริงสิ อย่าลืมใส่เครื่องเทศอย่างพวกพริกป่นลงไปด้วยล่ะ อาหารจะได้มีรสชาติมากขึ้น แล้วก็อีกอย่าง เจ้าไปเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวอื่นๆ มาดูสิ่งนี้ด้วย ข้าว่าพวกเขาคงมีความสุขน่าดูหากได้เห็นภาพนี้”
กิเลนอัคคีเป็นคนที่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร มันชะงักไป จากนั้นจึงร้องออกมาทันทีว่า “เดี๋ยวก่อน!”
“ทำไมล่ะ ทีนี้อยากพูดขึ้นมาแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งลงแล้วมองตรงไปที่กิเลนอัคคีพร้อมกับยิ้มจนตาปิด
ชิงหลงถองกิเลนอัคคีแล้วเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ถ้าไม่กลัวนายท่านโกรธก็บอกไปเลย”
“แต่พระชายาอยากให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นๆ มาเห็นพวกเรา…เปลือยเชียวนะ!” กิเลนอัคคีรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาจึงพูดต่อ “ข้าจะต้องเสียหน้าในฐานะลูกพี่ นอกจากนั้นข้าก็แตกต่าจากมังกรวิปริตเช่นเจ้า ข้ายังต้องการหาคนสำคัญของข้าให้เจอ!”
ชิงหลงพ่นลมหายใจออกมา “ถ้านายท่านรู้เรื่องนี้เข้า อย่าว่าแต่คนรักของเจ้าเลย แม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเจ้าก็จะพลอยเสียมันไปด้วย!”
กิเลนอัคคีเม้มริมฝีปากพร้อมกับคำรามขึ้น “อ๊าก! ทำไมคนที่เจ็บตัวต้องเป็นข้าอยู่เรื่อย!”
“พี่สะใภ้สาม ข้าเอาหม้อมาแล้วขอรับ” เจ้าเจ็ดเป็นคนเอาการเอางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาหาร
กิเลนอัคคีหันกลับไปมอง แล้วมันก็แทบจะเป็นลม เด็กคนนี้ไปเอาหม้อใบใหญ่ขนาดนั้นมาจากไหน คนในวังหลวงตายไปหมดแล้วหรือ ทำไมถึงไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคน
เจ้าเจ็ดรู้สึกได้ถึงสายตาดุดันของกิเลนอัคคี ทันทีที่เขาวางหม้อใบมหึมานั้นลงจากบ่า เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างอวดดีว่า “คอยดูเถอะ เดี๋ยวข้าจะจับเจ้าถอดเสื้อผ้าออกให้หมด!”
ระหว่างที่กิเลนอัคคีกำลังพยายามปกป้องขนกับกรงเล็บของมันอยู่นั้น คนคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในตำหนักจิ่วฉง เขามีช่วงขาเรียวยาว ท่าทางของเขาดูหนักแน่นมั่นคง และยังเคลื่อนไหวได้อย่างสง่างาม จากนั้นดวงตาดำขลับเป็นประกายของเขาก็มาหยุดอยู่ที่กิเลนอัคคีกับชิงหลง น้ำเสียงราบเรียบของเขาเจือไปด้วยความไม่แยแส “ที่นี่ดูมีชีวิตชีวาทีเดียวนี่”
นายท่าน?
กิเลนอัคคีและชิงหลงหันไปมองเขาพร้อมกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกไม่ถึงว่าเขาจะมาที่นี่ในเวลานี้ นางจึงถามว่า “ทำไมท่านถึงไม่อยู่ที่ห้องทรงอักษรทางทิศใต้ล่ะ”
“ตอนแรกข้าก็อยู่ที่นั่น” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแว่วเข้ามาในหูของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ระหว่างนั้นเขาก็ดึงเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามากอด แล้วพึมพำว่า “แต่มีคนทำผิดพลาดในเรื่องโง่ๆ ดังนั้นข้าก็เลยมาจัดการแก้ปัญหานั้น”
เมื่อกิเลนอัคคีและชิงหลงได้ยินดังนั้น คอของพวกเขาก็หดลงทันทีเพราะรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงยิ้มและตอบว่า “พวกเราก็แค่เล่นกัน ข้ามั่นใจว่าท่านเองก็คงรู้ว่าเจ้าเจ็ดเห็นอะไรก็อยากจับมาทำอาหารให้ข้ากินทั้งนั้น”
“เจ้าตั้งใจจะกินอย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูสนใจ เขายื่นมือออกไปปัดเส้นผมที่อยู่บนหน้าผากของนาง
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายขณะตอบว่า “พวกเราตั้งใจว่าจะจับพวกมันต้ม ท่านก็รู้ว่ากิเลนอัคคีห่วงภาพลักษณ์ตัวเองขนาดไหน”
“เป็นความคิดที่ดีทีเดียว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางประทับจูบลงที่เปลือกตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยว่า “แต่ร่างเปลือยของเขาคงไม่มีอะไรให้เรามองนัก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กิเลนอัคคีก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตราบใดที่นายท่านอยู่ข้างเขา ทุกอย่างย่อมคลี่คลายไปได้ด้วยดี
แต่แล้วมันก็ต้องตกใจ เพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดต่อว่า “อย่าไปมองเลย เสียสายตาเปล่าๆ”
กิเลนอัคคี :… นี่ยังนับว่าเป็นการช่วยเขาอยู่หรือเปล่า มิใช่ว่านายท่านกำลังใช้วาจาทำร้ายเขาอยู่หรอกหรือ?!