องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 727
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยดวงตาเปื้อนรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไม่มองแล้ว ข้าเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบต่อลูกไปด้วย”
กิเลนอัคคี : … ไม่มีใครคิดถึงความรู้สึกของข้าเลยหรือ!
เจ้าเจ็ดขมวดคิ้วเข้าหากัน จากนั้นเขาจึงปล่อยเชือกตรึงอสูรที่อยู่ในมือ แล้วกระโดดเข้าไปถามว่า “พี่สะใภ้สามไม่อยากกินแล้วหรือขอรับ”
กิเลนอัคคี : … นอกจากเรื่องกินแล้ว ท่านพูดถึงเรื่องอื่นบ้างมิได้หรือ!
“ไม่กินแล้ว เจ้าเจ็ด เจ้าตามพวกเขาไปที่ยมโลกแล้วจับวิญญาณกลับมา” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปเล็กน้อย แล้วเหลือบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก่อนจะกล่าวต่อ “จะได้เอามาป้อนให้เด็กคนนี้กิน”
ใบหน้าทรงเสน่ห์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงสง่างามเฉกเช่นเดิม แต่มือที่กำลังลูบผมของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับชะงักไปครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้แล้วหรือ ท่าทางเราคงต้องเคี่ยวน้ำแกงกิเลนอัคคีหม้อนี้ให้ดีๆ เสียแล้วสิ”
เมื่อคำพูดประโยคนี้ออกมาจากปากของผู้เป็นนาย กิเลนอัคคีก็รู้สึกขนลุกซู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำในอ้อมแขนของเขา “เวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้น ท่านก็มักจะเอาโทสะไปลงที่คนอื่นอยู่เรื่อย”
“เอาโทสะไปลงที่คนอื่นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเสียงเบา เขาใช้นิ้วบีบปลายคางของนางแน่น สายตาของเขาเย็นเฉียบขณะตอบว่า “ฮูหยินคงไม่เคยเห็นตอนที่ข้าตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ ถ้าเจ้าเจอปัญหาอะไรแล้วไม่ยอมบอกข้าอีก สิ่งที่ข้าจะทำลายทิ้งคงไม่ได้มีแค่กรงเล็บคู่นี้ แต่อาจจะมีร่างทั้งร่างของเจ้าด้วย”
คำพูดของเขาทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกผิดอย่างมาก นางจึงเอ่ยว่า “ข้าก็แค่กลัวว่าท่านจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเด็กคนนี้เท่านั้น”
“ทำไมข้าถึงต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาด้วย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกวาดตามองท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวย เสียงหัวเราะของเขาฟังดูติดจะเย็นชาเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “ข้าออกจะชอบเขามากขนาดนี้”
ท่านแม่ เขาโกหกขอรับ!
ชอบมากขนาดนี้อะไรกัน!
ช่างเป็นคำพูดที่เสแสร้งเสียไม่มี!
ปฏิกิริยาของทารกที่โตกว่ารุนแรงเป็นอย่างมาก
ทารกที่ตัวเล็กกว่าลืมตาขึ้นจากการหลับใหล เขาพึมพำออกมาว่า “พี่ชาย ท่านแม่ไม่ได้ยินท่านหรอก”
“ข้าปลุกเจ้าตื่นอีกแล้วหรือ” ทารกที่โตกว่าดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอด แล้วเยาะขึ้นว่า “ถ้าข้าออกไปได้เมื่อใด ท่านแม่จะต้องได้ยินเสียงข้าแน่ ข้าจะเอาชนะท่านพ่อให้ได้ เจ้ากับข้าต้องร่วมมือกันนะ แล้วมาดูกันว่าพอถึงตอนนั้นเขาจะยังเสแสร้งต่อไปได้อย่างไร!”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าส่งเสียงตอบรับในลำคอ แล้วใช้มือที่เพิ่งเกิดขึ้นขยี้ตาตัวเองอย่างไม่กระตือรือร้นนัก
เมื่อเห็นเขาอยู่ในสภาพเฉื่อยชาเช่นนี้ ดวงตาสีแดงเข้มของทารกที่โตกว่าก็ดำทะมึน เขาจูบหน้าผากของทารกที่ตัวเล็กกว่าเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้าเราออกไปจากที่นี่ได้ ข้าจะยกอาหารอร่อยๆ ทั้งหมดให้เจ้า ดังนั้นเจ้าต้องตามข้าออกไปด้วยนะ เข้าใจไหม”
“ตกลง” ทารกที่ตัวเล็กกว่าตอบเสียงเบา เลือดสีแดงข้นหนืดที่ส่องประกายอยู่ในลูกตาของเขาทำให้เขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย
ทารกที่โตกว่ายิ้มแล้วถ่ายพลังวิญญาณทั้งหมดที่เขาเก็บไว้ให้กับทารกที่ตัวเล็กกว่า
จริงอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ยินบทสนทนาของทารกทั้งสอง แต่นางก็มั่นใจว่าน้ำเสียงขององค์ชายไม่ได้แสดงออกถึงความรักใคร่เอ็นดูแต่อย่างใด
“ทำไม เจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูดหรือ” ชายหนุ่มกลับมาเย็นชาดังเดิม สีหน้าของเขาเหมือนกำลังบอกว่าเขาจะจับทุกคนที่สงสัยในคำพูดของเขาโยนออกนอกหน้าต่างอย่างไม่ลังเล
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอมออกมาเสียงเบา แล้วพยายามเอาใจเขา “ข้าเชื่อ ข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้นว่าหมอหลวงหลิวพูดกับท่านว่าอย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หันไปจ้องกิเลนอัคคีที่นอนอยู่บนพื้น
กิเลนอัคคีรีบหดคอกลับทันที บนใบหน้าของมันเต็มไปด้วยสีหน้าเหมือนคนถูกใส่ร้าย เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระชายาเดาทุกอย่างออกได้อย่างได้
“ข้าเพียงสอนในสิ่งที่เขาสมควรพูดเท่านั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดาว่าองค์ชายน่าจะข่มขู่เขา นางควรส่งของปลอบใจไปให้เขา อย่างไรเขาก็อายุมากแล้ว ย่อมได้รับความบอบช้ำทางจิตใจจากคำขู่ขององค์ชายได้ง่ายกว่าคนอื่น
“แล้วเด็กคนนี้ล่ะ ทำไมพวกเราถึงต้องเอาวิญญาณจากยมโลกมาป้อนให้เขากินหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นติดเย้ยหยันว่า “ตอนที่ปีศาจก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง สิ่งที่จำเป็นต่อการรักษาพลังปีศาจของมันก็คือวิญญาณจำนวนมาก หากไม่มีสิ่งนั้น มันจะเป็นอันตรายต่อผู้เป็นแม่ได้ ตอนนี้วิญญาณในวังหลวงต่างก็กลัวมันจนพากันหนีไปหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงทำได้แค่ต้องเดินทางไปที่ยมโลกเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าหนูนี่หรอก แม้เขาจะโง่ แต่เขาก็แข็งแกร่งพอตัวทีเดียว”
“ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา แต่น้ำเสียงของท่านกลับฟังดูเหมือนกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ไม่มีผิด!” ตอนนี้เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจทุกอย่างแล้ว นางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้น นางยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองพร้อมกับพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดช้าๆ ว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี”
ถึงเขาจะพูดเช่นนั้นออกมาด้วยบรรยากาศราวกับผู้เหนือกว่า แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลและอ่อนโยนจากเขา นางดึงเขาเข้ามากอด แล้วฝังใบหน้าของตัวเองเข้ากับอกของเขา จากนั้นจึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “ต่อให้เด็กคนนี้เกิดมา แต่ท่านก็ยังเป็นคนที่ข้ารักที่สุดเสมอ”
องค์ชายชะงักไป แม้เขาจะเงียบไป แต่เขาก็กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับงอนิ้วแล้วแตะเข้าที่หน้าผากของเฮ่อเหลียนเวยเวยพลางบอกว่า “ข้อดีเพียงข้อเดียวของเจ้าก็คือเจ้าเป็นคนที่มีสายตาดีทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันได้ตอบกลับ นางก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นๆ อันคุ้นเคยจากริมฝีปากของเขาที่ประกบเข้ากับนาง ตามมาด้วยกลิ่นไม้จันทน์อันน่าหลงใหล และรอยยิ้มราวกับน้ำแข็งละลาย
แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาตกกระทบลงบนริมฝีปากสีซีดของชายหนุ่มจนเกิดเป็นภาพอันงดงามและยากที่จะละสายตาได้
น่าเหลือเชื่อจริงๆ
ที่คำพูดเพียงไม่กี่คำของข้าสามารถทำให้เขามีความสุขได้ถึงเพียงนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงคนที่ยังทำหน้างงๆ อยู่ตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขน รอยยิ้มของเขายังคงค้างอยู่ที่มุมปาก ในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบสิ่งที่มีความหมายมากกว่าการล่อลวงมนุษย์และเก็บเกี่ยววิญญาณ และนั่นคือการได้ฟังเจ้าตัวเล็กนี่แสดงความรักที่นางมีต่อเขาออกมานั่นเอง
หืม...
นางอาจจะไม่ค่อยฉลาดนัก และมักจะตกอยู่ในอาการเหม่อลอยระหว่างมองหน้าเขา
แต่อย่างน้อยนางก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ดังนั้นเขาจึงต้องปกป้องนางให้ดี
กิเลนอัคคีที่เห็นภาพนี้ถึงกับตัวแข็ง เขาไม่เคยเห็นนายท่านทำตัวอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าเพียงเพื่อให้ได้ครอบครองคนคนนี้ เขาก็ยอมสละได้ซึ่งโลกทั้งใบ
พฤติกรรมของนายท่านเป็นอันตรายกับตัวเองมากเกินไป
ถ้าคนคนนั้นหายตัวไป แน่นอนว่าโลกทั้งใบก็คง…
กิเลนอัคคีสะบัดศีรษะไปมา แล้วหยุดความคิดของมันเอาไว้แค่นั้น ดวงตาของมันเริ่มดำทะมึน แต่ทันทีที่มันลุกขึ้นยืน มันก็พบว่าตัวเองกำลังถูกใครคนหนึ่งลากออกไปอีกครั้ง
“อสูรกลืนเวหา คราวนี้เจ้าจะทำอะไรอีก” การลากพวกเขาไปไหนต่อไหนกลายเป็นนิสัยใหม่ของมันหรือ
“ข้าจะไปยมโลก ข้าจำเป็นต้องให้พวกเจ้าสองตัวเปิดประตูให้” เด็กชายตัวน้อยตอบโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
ชิงหลงกับกิเลนอัคคีทำหน้าบึ้ง : … พวกข้าดูเหมือนกุญแจหรือ
ตอนที่ทั้งสามมาถึงยมโลก ชิงหลงและกิเลนอัคคีจึงได้ตระหนักว่าคนตัวเล็กใช้พวกเขาเปิดประตูด้วยวิธีใด เขารวบตัวพวกมันเข้าด้วยกันแล้วทุ่มใส่ประตูอย่างแรงเพื่อทำให้ผู้พิพากษาวิญญาณออกมา
ผู้พิพากษาวิญญาณปรากฏตัวขึ้นทั้งที่ยังถือพู่กันไว้ในมือ ฟันของเขากระทบกันดังกึกๆ เมื่อจำได้ว่าผู้มาเยือนคือใคร จากนั้นเขาจึงกล่าวทักทายว่า “ทะ ท่านกิเลนอัคคี ทะ ท่านชิงหลง ท่านให้เกียรติมาเยี่ยมเยือนพวกเราถึงที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
ระหว่างพูด ผู้พิพากษาวิญญาณก็เขย่งปลายเท้าแล้วมองไปที่ทั้งสอง เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อดูให้แน่ใจว่าชายหนุ่มผู้ชั่วร้ายที่เขาคุ้นเคยไม่ได้มากับพวกเขาด้วย และจากนั้นเขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก น่ากลัวยิ่งนัก แต่ดูเหมือนว่าราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นจะไม่ได้มาด้วย
“ราชาแห่งนรกอยู่หรือเปล่า” เจ้าเจ็ดถาม
ผู้พิพากษาวิญญาณส่ายหน้า แล้วตอบด้วยความเคารพว่า “เขาขึ้นไปที่โลกมนุษย์ขอรับ” ในเมื่อเจ้านายของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเขาย่อมสามารถหลีกเลี่ยงการปะทะอันดุเดือดได้ เพราะอย่างไรมันก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องสู้กันแต่อย่างใด แต่ระยะหลังมานี้ผู้เป็นนายของเขาดูกระวนกระวายอย่างประหลาด เขามักจะไปเยี่ยมโลกมนุษย์เพื่อตามหาราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่อยู่เป็นประจำ แต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับมาเสียทุกครั้ง ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นคงซ่อนกลิ่นอายของตัวเองได้เก่งทีเดียว
ทันทีที่ได้ยินว่าราชาแห่งนรกไม่อยู่ ดวงตาของเจ้าเจ็ดก็เป็นประกาย เขาคำรามออกมาทันทีว่า “ลงมือ!”
ผู้พิพากษาวิญญาณถึงกับอึ้งไปเลย…