องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 730 การตามหาพระสรีระ
“น่าสงสารหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะพร้อมกับเดินเข้ามา นางยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ ดูเหมือนนางจะไม่ได้ยินบทสนทนาส่วนใหญ่ของพวกเขา นางกลับมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ทารกน้อยขณะเอ่ยถามว่า “เจ้ากำลังพูดถึงตัวเองอยู่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองบุตรแห่งราชานรก แล้วตอกกลับอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าตกหลุมรักเด็กผู้ชายอีกคน แต่สุดท้ายก็ถูกเขาปฏิเสธมานี่… ถ้าข้าจำไม่ผิด เด็กคนนั้นน่าจะชื่อเสี่ยวโกว เขาเป็นคนขอให้เจ้ากลับยมโลกมิใช่หรือ คำว่า ’รักเขาข้างเดียว’ คงเป็นคำอธิบายที่เหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าที่สุดแล้ว ทีนี้เจ้าคิดว่าใครกันแน่ที่น่าสงสารมากกว่ากัน”
ดวงตาสีอำพันของบุตรแห่งราชานรกหรี่ลงเพราะถูกคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยจี้ใจดำเข้าอย่างจัง แต่จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะขึ้น แล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่ายั่วโมโหข้า จริงอยู่ที่มิมีผู้ใดล่วงรู้อนาคตอันแน่นอนของตัวเอง แต่จากที่ข้าเห็น พลังวิญญาณของเจ้าก็จวนจะว่างเปล่าเต็มที ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลบัญชีนรกเช่นพวกข้าย่อมสามารถมองเห็นในสิ่งที่ปีศาจมิอาจมองเห็นได้ ตอนนั้นที่เจ้าได้เกิดใหม่ก็เพราะมีพระบรมสารีริกธาตุปกป้องอยู่ แต่ตอนนี้พลังวิญญาณของเจ้ากำลังถูกทารกในครรภ์ดูดซับ เมื่อใดที่เจ้าไม่มีสิ่งใดให้เขากินได้อีก เขาก็จะหันมาแว้งกัดเจ้าแทน ที่ข้าพูดเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก็เพราะข้าชอบเจ้าหรอกนะ บอกให้สามีของเจ้าแวะไปเยี่ยมเยือนยมโลกบ่อยๆ ด้วย เขาจะได้เป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจของท่านพ่อให้กับข้า แล้วข้าจะได้แอบออกมาข้างนอกได้ทุกเมื่อที่ข้าต้องการ ส่วนเจ้า… เฮ้อ เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่เลยจริงๆ โอ๊ะ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกำลังจะจัดการแข่งขันขึ้น แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่กลัวว่าอาจมีคนเข้าไปขวางทางพวกเขาได้ และนับว่าโชคร้ายทีเดียวที่ในจำนวนคนพวกนั้นมีคนฉลาดอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน ในขณะที่สัดส่วนของคนไร้สมองกลับมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายพวกเขาก็จะเข้าไปในสุสาน และพระสรีระจะตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ชนะการแข่งขันนี้ พระบรมสารีริกธาตุชิ้นนี้จะเป็นอาหารบำรุงกำลังชั้นเลิศให้กับเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย หากเจ้าสามารถเอามันมาได้ ร่างกายของเจ้าก็จะได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ดังนั้นพยายามหาทางเอามันมาให้ได้ล่ะ”
ทันทีที่พูดจบ บุตรแห่งนรกก็ยกขวานของตัวเองขึ้นแล้วกลับไป พร้อมกับพึมพำเสียงเบาราวกับกระซิบว่า “ข้าไม่ได้ถูกเสี่ยวโกวถีบหัวส่งเสียหน่อย ใช่ว่าเขาจะรังเกียจข้าเสียที่ไหน เขาก็แค่เขินเท่านั้น เจ้าควรเรียกสิ่งนี้ว่าความรักอันสวยงามต่างหาก ต่อให้เสี่ยวโกวไม่ได้ชอบสิ่งที่ข้าเป็น แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องตกหลุมรักใบหน้าของข้าแน่ อย่างไรฟ้าก็ประทานใบหน้าอันหล่อเหลาถึงเพียงนี้มาให้ข้าเชียวนะ!”
จากนั้น ต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พลันล้มครืนลงกับพื้นจากการจามขวานเพียงครั้งเดียว
ยมทูตจำนวนหนึ่งรีบบึ่งมาที่นี่ด้วยความกระวนกระวายทันทีที่รู้ตำแหน่งของเขา แต่แล้วก็พบว่าทั่วทั้งบริเวณนี้กลับถูกเมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายปกคลุมเอาไว้ พวกเขาเอ่ยตะกุกตะกักว่า “นะ นายน้อย ในที่สุดพวกข้าก็หาท่านพบแล้ว”
“กลับยมโลก!” บุตรแห่งราชานรกเหยียดยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย “ใครก็ตามที่กล้าขัดขวางไม่ให้ข้าพบกับเสี่ยวโกวจะถูกจับโยนลงแดนนรกจนมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี!”
ยมทูตเหล่านั้นยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ใบหน้าที่ขาวซีดเป็นทุนเดิมของพวกเขากลับยิ่งดูซีดเซียวขึ้นอีก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตากลับมาจากประตู แล้วหันไปสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปหาเขา แล้วจึงขยับเข้าไปหอมแก้มเขาหนึ่งทีพลางเอ่ยว่า “ไปตามหาตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกันเถอะ”
จูบนั้นทำให้ความเย็นชาภายในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยละลายลงอย่างช้าๆ
ไม่มีทางที่คนคนนี้จะไม่รักเขา
พวกตาแก่บนนั้นคงคิดว่าเขาจะหลงเชื่อเรื่องโกหกของพวกเขา
ช่างโง่เขลาเสียไม่มี!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเงียบๆ พร้อมกับอุ้มเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นแล้วจูบนางอย่างลึกซึ้ง
เขาละโมบจูบนางอย่างรุนแรงเสียจนเฮ่อเหลียนเวยเวยแทบยืนไม่ติดพื้น สุดท้ายนางจึงทำได้เพียงพิงร่างเขา แล้วพูดเบาๆ ว่า “อืม… พอแล้ว”
“พูดสิว่าเจ้ารักข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกัดใบหูของนางเบาๆ ดวงตาดำทะมึนของเขาดูลึกล้ำยิ่งขึ้น
คิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดเข้าหากันแน่น นางไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่องค์ชายทำตัวค่อนข้างผิดปกติทีเดียว ดังนั้นนางจึงหัวเราะออกมาแล้วจูบปลอบเขา พร้อมกับตอบว่า “ข้ารักท่าน”
ความรู้สึกราวกับกำลังจะขาดอากาศหายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกของเขาจางหายไปในที่สุด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมั่นใจว่าตาแก่บนสวรรค์จะต้องโกหกเขาอยู่อย่างแน่นอน พวกเขาไม่ได้เห็นว่าเจ้าตัวเล็กนี่มองเขาอย่างไร นางอ่อนโยนแต่ก็มีความมั่นคง อีกทั้งมือของนางก็ยังเชื่อฟังเขาอย่างมาก นอกจากนั้นนางยังยอมให้เขาจูบได้ตลอดเวลาอีกด้วย
รอยยิ้มเหยียดกว้างขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม เขาปัดผมหน้าม้าที่ปรกอยู่บนหน้าผากของนางออก แล้วประทับจูบครั้งที่สองลงบนนั้นพร้อมกับเอ่ยเสียงเบาว่า “ห้ามทิ้งข้าไปไหน”
“ข้าไม่ทิ้งท่านอยู่แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างรวดเร็ว ในฐานะเจ้าแม่ค้าอาวุธรายใหญ่ การทำให้คนสำคัญของนางรู้สึกปลอดภัยได้ในตอนที่เขารู้สึกไม่ปลอดภัยย่อมเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดวงตาสุกใสเป็นประกายของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน จากนั้นเขาจึงกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น แล้วเสริมว่า “อย่างไรนอกจากข้าแล้วก็คงไม่มีใครเอาเจ้าอยู่ดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : … เขาจำเป็นต้องใช้คำพูดโจมตีนางไปเสียทุกครั้งด้วยหรือ
เดี๋ยวก่อนสิ ข้าควรเป็นคนที่ปลอบเขาไม่ใช่หรือ
ทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนว่าเขากำลังปลอบข้าอยู่ล่ะ มันกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน
“พรุ่งนี้เราออกเดินทางไปยังสุสานแห่งนั้นกัน” น้ำเสียงทุ้มต่ำและหนักแน่นของชายหนุ่มดังขึ้นจากเหนือศีรษะของนางอีกครั้ง เสียงนั้นทั้งฟังดูไพเราะและเย้ายวนอย่างมากระหว่างที่กล่าวว่า “อย่าได้วิ่งเข้าไปคนเดียวเชียวล่ะ เข้าใจหรือเปล่า”
“อืมๆ ข้าเข้าใจแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับพึมพำในใจว่า พวกเราก็อยู่ด้วยกันตลอดมิใช่หรือ ข้าจะไปไหนได้ล่ะ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรั้งนางเข้าหาตัวราวกับพยายามปัดเป่าความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้นจากคำพูดของบุตรแห่งราชานรกให้หายไป…
ความมืดเริ่มโรยตัวลงที่ด้านนอกของวังหลวง
ลูกแฝดในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยตกอยู่ในความเงียบ
จากนั้นไม่นานนัก ทารกที่ตัวเล็กกว่าจึงขยับมือแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย ถ้าท่านหยุดถ่ายทอดพลังวิญญาณให้กับข้า พวกเราอาจจะลดภาระให้กับท่านแม่ได้”
ทารกที่โตกว่าไม่ตอบ ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับมีเลือดไหลอยู่ เขาดูเงียบอย่างผิดวิสัย
“พี่ชาย” ทารกที่ตัวเล็กกว่าพยายามดึงเขาเข้ามากอด แล้วพูดต่ออย่างใจเย็นว่า “ไม่เป็นไร มันจะต้องเป็นอย่างที่ท่านเคยพูดเอาไว้แน่ ทุกปัญหาย่อมคลี่คลายได้ตราบใดที่มีท่านพ่ออยู่”
ทารกที่โตกว่าขยับตัว ในที่สุดเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหมองหม่นว่า “เจ้าก็ได้ยินที่คนเมื่อกี้พูดแล้วมิใช่หรือ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ข้ามีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินปราณแห่งความเคียดแค้น ในขณะที่เจ้าต้องการเพียงแค่พลังวิญญาณ เห็นๆ กันอยู่ว่าคนที่เป็นตัวล้างผลาญคือข้า ในไม่ช้าเมื่อปราณแห่งความเคียดแค้นมีมากขึ้น ข้าก็จะสูญเสียสติสัมปชัญญะและทำร้ายท่านแม่”
“พี่ชาย ท่านไม่ได้เป็นตัวล้างผลาญหรอก” แม้ทารกที่ตัวเล็กกว่าจะอ่อนแออย่างมาก แต่ก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านบอกว่าท่านจะพาข้าออกไปจากที่นี่กับท่าน และพวกเราจะได้เล่นด้วยกัน ถ้าไม่มีท่าน ข้าจะต้องถูกคนอื่นๆ รังแกเอาแน่ๆ ดังนั้นท่านพี่อย่าคิดมากเลย พวกเราจะต้องได้ออกไปด้วยกันแน่นอน”
ดวงตาของทารกที่โตกว่าขุ่นมัว เขาแนบหน้าผากเข้ากับทารกที่ตัวเล็กกว่าแล้วส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างเย็นชาว่า “ใครหน้าไหนกล้ามารังแกเจ้า ข้าจะดูดพลังของพวกมันออกมาเสียให้เกลี้ยงเชียว!”
“ใช่เลย” ผู้เป็นน้องฝาแฝดเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นมือเล็กๆ จึงเริ่มเคลื่อนไหว แล้วปลดปล่อยพลังวิญญาณที่ตัวเองดูดซับเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาหักล้างปราณแห่งความชั่วร้ายที่ทารกที่โตกว่าแผ่ออกมา…
ผู้คนในวังหลวงทำงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตำหนักจิ่วฉง แต่โดยปกติแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ควรออกเดินทางไกลในเวลานี้
บรรดาเสนาบดีต่างกำลังคาดว่าเขาจะขึ้นครองบัลลังก์ในเร็ววันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมราชโองการกองโตเท่าภูเขาเอาไว้รอ
เดิมทีเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าคงมีเวลาอีกหลายวันกว่าที่พวกนางจะได้ออกเดินทาง เพราะนางคิดว่าเสนาบดีเหล่านั้นจะต้องห้ามพวกนางอย่างแน่นอน
แต่องค์ชายกลับพูดเพียงแค่ว่า “พวกข้าต้องไปนำพระสรีระกลับมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายถูกทำลาย ข้าไปเองคงดีที่สุด”
ไม่ใช่แค่คนพวกนั้นจะไม่สงสัยในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่พวกเขากลับยังรู้สึกซาบซึ้งกับคำพูดนั้นจนสะเทือนใจ ทุกคนในวังหลวงล้วนแต่ยกย่องในสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดขององค์ชายสามเป็นอย่างยิ่ง…