องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 741 พระชายาตัวจริงกับการตบหน้า
“ไม่ได้มาเกิดใหม่หรือขอรับ” จูเก่ออวิ๋นมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเหลือเชื่อ “พี่เว่ย ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้นล่ะขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกมุมปากขึ้น น้ำเสียงของนางยังคงเกียจคร้าน “ดูจากวิธีการที่ตระกูลหนีใช้จัดการกับเรื่องต่างๆ แล้ว มันก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่พวกเขาจะแต่งเรื่องมาเอาชนะใจผู้คน ยังไม่ต้องพูดถึง…. ว่าข้ารู้จักหนีเฟิ่งคนที่เจ้ากำลังพูดถึงคนนั้นด้วย”
“ท่านรู้จักคุณหนูหนีหรือ” จูเก่ออวิ๋นยิ่งรู้สึกงุนงง “นางสุขภาพไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร และเพิ่งจะได้ออกมาข้างนอกหลังจากอยู่แต่ในจวนมานาน พี่เว่ยจะรู้จักนางได้อย่างไรขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างมีเลศนัย “ข้ากำลังพูดถึงหนีเฟิ่งคนก่อนต่างหาก”
“หนีเฟิ่งคนก่อน!” จูเก่ออวิ๋นพบว่าเขาอุทานออกมาเสียงดังเกินไป เขาจึงหันมองไปรอบๆ แล้วพึมพำว่า “มันจะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ เรื่องนั้นคงผ่านมาสักสองหรือสามร้อยปีได้แล้วกระมัง พี่เว่ยอย่าล้อข้าเล่นสิขอรับ ข้ากลัวผีมากนะ!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ “เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแต่กลับกลัวผีหรือ”
จูเก่ออวิ๋นนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเปิดเผยจุดอ่อนออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้ แต่สิ่งที่นางพูดก็น่าเหลือเชื่อเสียจนทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน จูเก่ออวิ๋นเกาศีรษะ ใบหน้าของเขาขึ้นสีเล็กน้อย “ตอนเด็กๆ ข้าเคยไปที่จวนตระกูลหนีหนหนึ่ง ศพที่นั่นทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งขอรับ ข้าไม่เคยลืมความรู้สึกในวันนั้นได้เลย”
“จวนตระกูลหนีมีศพอยู่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักฝีเท้า ดวงตาของนางเป็นประกาย
จูเก่ออวิ๋นพยักหน้าพลางตอบว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วขอรับ ตอนนั้นท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของพวกเรายังไม่ได้เป็นเหมือนอย่างตอนนี้ เด็กเล็กๆ อย่างพวกเรารักการผจญภัย ดังนั้นสมัยนั้นข้าก็เลยไม่เคยกลัวสิ่งใด และคิดว่าตัวเองเก่งเพียงเพราะสามารถวาดยันต์ได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นการนำมันออกมาใช้กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย ตอนนี้ข้าจำไม่ได้แล้วขอรับว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พี่เว่ย ทำไมท่านถึงได้มั่นใจเรื่องการเกิดใหม่ของพระชายาถึงเพียงนั้นล่ะขอรับ”
ก็เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าคือพระชายาที่กลับมาเกิดใหม่ตัวจริงเสียงจริงน่ะสิ เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมา แต่พระอาจารย์ชื่อดังคนนั้นย่อมไม่มีวันโป้ปด ตอนนี้นางไม่มีพลังวิญญาณบนร่างเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นนางจึงดูไม่เหมือนกับพระชายาเลยจริงๆ
เมื่อเห็นว่านางเงียบไป จูเก่ออวิ๋นจึงพูดเสียงเครียดว่า “อันที่จริง ท่านพ่อของข้าก็เคยสงสัยเหมือนกันขอรับว่าหนีเฟิ่งอาจจะไม่ใช่พระชายาตัวจริง แต่เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ดังนั้นเราจึงไม่มีหนทางในการที่จะพิสูจน์มันขอรับ คุณหนูหนีจากเมื่อหลายร้อยปีก่อนแข็งแกร่งอย่างมาก นางเข้าไปในแดนปีศาจ และสามารถกลับมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน ดังนั้นทุกคนทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงเชื่ออย่างสุดหัวใจว่านางคือพระชายา ไม่มีใครเชื่อในสมมติฐานของท่านพ่อแม้แต่คนเดียวขอรับ แต่ตอนที่ท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมีหนังสือโบราณที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระชายาเอาไว้ ในหนังสือบอกว่าสัญลักษณ์แห่งพระธรรมจะกลับชาติมาเกิดก็ต่อเมื่อมีปีศาจออกอาละวาดจริงๆ นางจะกลับมาที่โลกมนุษย์เพื่อช่วยผู้คน แต่ตอนที่คุณหนูหนีคนก่อนใช้อาคม สัญลักษณ์แห่งพระธรรมกลับไม่ได้ปรากฏขึ้นอย่างในคำทำนาย นี่เป็นเรื่องที่มีคนรู้กันเพียงแค่ไม่กี่คนขอรับ…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็สามารถยืนยันสิ่งหนึ่งได้อย่างชัดเจน
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเรื่องทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง เช่นนั้นเรื่องในปัจจุบันก็อาจจะไม่จริงเช่นกัน”
“พี่เว่ย” จูเก่ออวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน ข้าหวังว่าท่านจะเก็บรักษาเรื่องนี้ไว้เป็นความลับขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว”
“ข้าสงสัยจริงๆ ขอรับว่าตอนนี้พระชายาตัวจริงอยู่ที่ไหนกันแน่” จูเก่ออวิ๋นเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้ม แล้วถอนหายใจยาว “จากที่ท่านพ่อของข้าเคยพูดไว้ บันทึกโบราณกล่าวไว้ว่าพลังธรรมะของพระชายาจะสว่างไสวเรืองรองไปด้วยแสงแห่งพระพุทธองค์ และสามารถกล่อมเกลาวิญญาณร้ายทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้ ข้าอยากเห็นด้วยตาตัวเองยิ่งนักขอรับว่าจริงๆ แล้วนางคือใคร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอมออกมาเล็กน้อยเมื่อนางได้ยินคำพูดนี้ จากนั้นนางจึงตบบ่าเขา “ไม่ต้องห่วงหรอก สักวันเจ้าต้องได้พบนางอย่างแน่นอน”
“ข้าเพียงแค่คิดเท่านั้นขอรับ อย่างไรพระชายาก็คงไม่ใช่คนที่ข้าจะบังเอิญพบได้ง่ายๆ อยู่แล้ว” จูเก่ออวิ๋นยิ้มด้วยความเลื่อมใส แต่เขากลับกดเสียงต่ำลงทันทีที่นึกอะไรขึ้นได้ “ต่อให้คุณหนูหนีอาจจะไม่ใช่พระชายา แต่พลังวิญญาณของนางก็เป็นของจริงขอรับ แม้ข้าจะไม่อยากยอมรับเช่นนี้ แต่พวกเราคงต้องเตรียมใจเอาไว้สำหรับเรื่องนั้นขอรับ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่าเราอาจต้องทุ่มเวลาหนึ่งวันเต็มเพื่อที่จะไปให้ถึงทางเข้าสุสาน เพียงเพื่อพบว่าพวกเขารอเราอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว”
“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนเงียบอยู่ข้างพวกเขามาตลอดเวลานั้นเผยรอยยิ้มออกมา เขายืนอยู่ใต้แสงแดดขณะใช้มือซ้ายสวมถุงมือให้กับมือข้างขวาของตัวเอง ดวงตาเรียวยาวของเขาระยิบระยับราวกับอัญมณีที่เปล่งประกายด้วยความสง่างามอันยากจะอธิบายได้ มุมปากที่โค้งขึ้นราวกับตะขอนั้นสามารถล่อลวงผู้คนได้อย่างง่ายดาย
จูเก่ออวิ๋นรู้สึกว่าเขาดูมีเสน่ห์ชั่วร้ายด้วยเหตุผลบางประการ เขาหลงใหลไปกับเสน่ห์นั้นจนทำได้เพียงแค่ผงกศีรษะขึ้นลงอย่างใจลอย
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะขึ้นเพราะนางสามารถเข้าใจสิ่งที่องค์ชายต้องการสื่อได้อย่างชัดเจน จากนั้นนางจึงพูดเสียงดังฟังชัดว่า “การแข่งขันเพิ่งเริ่มขึ้น บางทีเราอาจจะกลายเป็นฝ่ายที่รอพวกเขาก็ได้”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ” จูเก่ออวิ๋นไม่อยากจริงจังกับคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยมากนัก เขากำลังง่วนอยู่กับการคิดว่าเขาจะรับประกันความปลอดภัยในการเดินทางไปยังทางเข้าสุสานหลวงให้กับสมาชิกในกลุ่มได้อย่างไร ส่วนเรื่องอื่นนั้น… ต่อให้เขาอยากชนะ แต่เขาก็ไม่กล้าคิดถึงมันมากนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องรับประกันความปลอดภัยของสองคนนี้ให้ได้ เพราะนั่นคือคำสัญญาที่เขาให้กับท่านแม่ไว้
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเซียวหลิงอวี้จะบังเอิญได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้า เขาแค่นหัวเราะออกมาพลางหันกลับไปพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า “พวกเจ้าดูนั่นสิ ดูสิว่าเราเพิ่งได้ยินอะไรมา เจ้าพวกนี้ควรรู้จักประมาณตนเสียบ้าง แค่ไม่มาตายที่นี่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขาแล้ว แต่พวกเขากลับเพ้อฝันว่าจะชนะหรือ จะอวดดีก็ควรให้มันมีขอบเขต เจ้าพวกนี้ช่างหน้าหนาเสียไม่มี”
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่สมาชิกจากทั้งแปดกลุ่มจะร่วมหัวเราะไปกับเขา
เดิมทีนั้นแต่ละเส้นทางจะมีกลุ่มผู้เข้าแข่งขันจำนวนสิบกลุ่มออกเดินทางพร้อมกัน
หากวัดจากการจัดกลุ่มไปจนถึงระดับฝีมือของพวกเขา ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่ากลุ่มของเซียวหลิงอวี้เป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในเส้นทางนี้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายบางส่วนมีแผนการอยู่ในใจตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง
ในฐานะทายาทของตระกูลเซียว ฝีมือการขับไล่วิญญาณร้ายของเซียวหลิงอวี้นับว่าไม่เลวทีเดียว ดังนั้นจึงหมายความว่าถ้าพวกเขาสามารถประจบเขาได้ พวกเขาก็คงไม่ต้องกลัวตอนที่ปีศาจปรากฏตัวขึ้น ตราบใดที่พวกเขาสามารถไปถึงทางเข้าสุสานหลวงได้ในขณะที่ยังมีลมหายใจ และสามารถเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้ พวกเขาก็จะได้เข้าไปในสุสานหลวงและได้เห็นพระสรีระกับตา
ดังนั้นทันทีที่เซียวหลิงอวี้เปิดปาก คำพูดของเขาจึงได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้คนที่อยู่รอบตัว
“นายน้อยเซียวอย่าไปสนใจพวกเขาเลยขอรับ ปล่อยให้พวกเขายืนเพ้อฝันอยู่ที่นี่ต่อเถิด หลังจากนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจะได้รู้ว่าควรคุกเข่าขอความช่วยเหลือขอร้องใคร!”
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นทำให้ทั่วทั้งป่าสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงสะท้อน
จูเก่ออวิ๋นกำหมัดแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยเพลิงโทสะ คนพวกนี้จะมากเกินไปแล้ว!
แต่สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว นางยังคงดูไม่สะทกสะท้านเหมือนอย่างเคย
หลังจากเซียวหลิงอวี้พูดจบ เขาก็พาคนของตัวเองมุ่งหน้าออกไปก่อนด้วยท่าทางราวกับผู้ชนะ
จูเก่ออวิ๋นพยายามจะพิสูจน์ตัวเอง เขาจึงทำท่าจะเดินตามพวกเขาไปทันที แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน “อย่าไปทางนั้น”