องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 742 การตบหน้าครั้งที่สอง
น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา เสียงนั้นฟังดูสง่างามและลึกล้ำผิดปกติ
ตอนแรกจูเก่ออวิ๋นไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงห้ามไม่ให้เขาเดินต่อ แต่ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากถาม เสียงกรีดร้องที่เย็นยะเยือกไปถึงกระดูกก็ดังขึ้นมาจากทางที่คนกลุ่มนั้นหายไป
“อ๊าก!”
จากนั้นอากาศก็พลันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรง เมื่อกลิ่นนั้นโชยมาเข้าจมูก มันก็ทำให้ทุกคนเกิดอาการคลื่นเหียนขึ้นมาทันที
จูเก่ออวิ๋นตาโต สัญชาตญาณสั่งให้เขาดึงกระบี่ไม้ท้อของตัวเองออกมา
แต่ในเวลานี้เสียงนั้นกลับหยุดลง
ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความตึงเครียดนั้นได้
พวกเขารู้สึกเหมือนได้ยินใครสักคนกำลังสั่นกระดิ่งอยู่
ทุกครั้งที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท้องฟ้าก็ยิ่งมืดครึ้ม
ความมืดที่ขยายออกไปทีละน้อยราวกับซุกซ่อนภูตผีปีศาจจำนวนมากเอาไว้
แม้กระทั่งอุณหภูมิรอบตัวพวกเขาก็ยังดิ่งฮวบ สายลมที่เคยพัดเอื่อยแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว!
มีตัวอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในป่าลึก และคอยขัดขวางไม่ให้ใครเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้นได้
ในเวลาเพียงไม่นาน หน้าผากของจูเก่ออวิ๋นก็พลันเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาหันหน้ากลับมา และกำลังจะพูดว่า “ถอยไป ข้าจะปกป้องท่านทั้งสองเองขอรับ”
แต่ชายหนุ่มที่ห้ามเขาไว้กลับก้าวออกไปก่อน เสื้อคลุมสีเขียวของเขาปลิวอยู่ในสายลม ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขายังคงมีท่าทางเกียจคร้านและชั่วร้าย แต่ในดวงตาของเขากลับไม่มีประกายความอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะที่เอ่ยขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยว่า “ทีนี้เราก็ไปกันได้แล้ว”
จูเก่ออวิ๋นเพิ่งจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในตอนนั้นนั่นเอง ดวงตาของเขาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ท่าน ท่านรู้มาตลอดว่ามีตัวอะไรบางอย่างซุ่มอยู่ตรงนั้นหรือ?!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ เขายังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่คล้ายกำลังยิ้มอยู่
จูเก่ออวิ๋นไม่รู้จะอธิบายความตกใจออกมาว่าอย่างไร
อีกด้านหนึ่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึก ***** อย่างยิ่ง นางจับมือองค์ชายพลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านจงใจใช้พวกเขาเป็นเหยื่อล่อหรือ”
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปดึงนางเข้าหาตัวด้วยท่าทางสง่างาม “ข้าเพียงแค่อยากเห็นเท่านั้นว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดถึงจะทำให้พวกเราต้องร้องขอความเมตตา หึ”
เสียงหัวเราะที่ท้ายประโยคเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
พูดตรงๆ ก็คือ เขาก็แค่อยากส่งคนพวกนั้นไปสู่ความตายนั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไว้อาลัยให้กับคนพวกนั้นอย่างเงียบๆ แต่นางไม่ได้มีความรู้สึกอะไรให้กับพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ตรงกันข้ามกับจูเก่ออวิ๋นที่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
เมื่อพวกเขาเข้ามาข้างใน จึงพบว่าเหลือเพียงกลุ่มอื่นๆ อีกเพียงสามกลุ่มเท่านั้นที่ยังพยายามดิ้นรนต่อสู้อยู่ พวกเขาไม่สามารถบอกได้ชัดเจนนักว่าคนอื่นเจออะไรเข้า แต่ร่างกายส่วนที่เหลือของพวกเขาแห้งเหี่ยวและดำเป็นตอตะโก
“เกิดอะไรขึ้น” จูเก่ออวิ๋นคว้าไหล่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนหนึ่งเอาไว้แล้วถามขึ้นว่า “ทำไมถึงมีคนตายมากถึงเพียงนี้ล่ะ”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นอยู่ในอาการตกใจสุดขีด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบคำถามได้มากนัก “เส้นทางนี้ เส้นทางนี้มีปัญหา! ข้าอยากกลับ ข้าไม่สนเรื่องสุสานหลวงอะไรนั่นแล้ว ข้าอยากกลับบ้าน!”
“เงียบ!” เจ้าของเสียงนี้คือเซียวหลิงอวี้ เขายังถือยันต์ไว้ในมือ แต่ปลายนิ้วของเขากลับสั่นเล็กน้อย “ก็แค่สัตว์ปีกตัวเล็กๆ ไม่กี่ตัว ทำไมพวกเจ้าต้องโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย!”
“นายน้อยเซียวขอรับ เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่แค่สัตว์ปีกตัวเล็กๆ ท่านก็เห็นด้วยตาตัวเองแล้วนี่ขอรับว่าพวกมันมีจำนวนมากเพียงใด พวกมันยกโขยงเข้ามาแค่ทีเดียวก็กินคนของเราไปได้มากกว่าสิบคนเชียวนะ! เส้นทางนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ มันเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย! ทำไมพวกเราไม่กลับไปเลือกเส้นทางอื่นกันล่ะขอรับ”
ใครคนหนึ่งเสนอขึ้นอย่างระมัดระวัง
เซียวหลิงอวี้ไม่ปรายตามองเขาเลยด้วยซ้ำ พูดเป็นเล่น! ก่อนหน้านี้ข้าตรวจสอบมาแล้วว่านี่เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดที่มุ่งหน้าสู่สุสานหลวง แม้ระดับความอันตรายจะสูงกว่าเส้นทางอื่น แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเราจะไปถึงจุดหมายเร็วกว่าคนอื่นหากใช้เส้นทางนี้
ยิ่งกว่านั้น เขาก็ออกเดินทางมาแล้ว จะให้หันหลังกลับไปในเวลานี้ได้อย่างไร
ต่อให้คนที่อยู่ในกลุ่มอื่นจะตายกันหมดแล้ว แต่เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตระกูลเซียว เขาจึงต้องมุ่งหน้าไปต่อ!
นี่คือสิ่งที่เซียวหลิงอวี้คิดกับตัวเอง แต่สีหน้าของเขากลับยังคงไม่แสดงอารมณ์ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเจ้าเอายันต์ออกมาจุดไฟให้หมด เจ้าพวกนั้นมันกลัวแสงไฟ!”
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของเซียวหลิงอวี้ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็เริ่มควักยันต์ของตัวเองออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม
จูเก่ออวิ๋นหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งเช่นกัน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับห้ามเขาเอาไว้ “ถ้าพวกมันมีจำนวนมากเกินไป ยันต์พวกนี้คงจะช่วยได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น พวกมันไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการหยุดยั้งสัตว์พวกนี้ ในเวลาเช่นนี้อยู่เงียบๆ เสียยังจะเข้าท่ากว่า”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรหรือ” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็เริ่มแตกตื่น
เมื่อเห็นโอกาสหนีเพียงโอกาสเดียวถูกทำลายลง เซียวหลิงอวี้ก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “เจ้าจะเชื่อคำพูดของคนนอกหรือคำพูดของข้า เจ้าไม่เห็นหรือว่าเจ้าพวกนั้นมันไม่เข้ามาใกล้เพราะข้าจุดยันต์”
“ถูกขอรับ!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่คิดพึ่งพาเซียวหลิงอวี้เพื่อหลบหนีรีบเออออเห็นด้วยกับเขา “คนบางคนก็ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง พวกเขาช่วยตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับยังแสร้งทำเป็นอวดรู้ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการที่พวกเจ้ากลับโง่พอที่จะหลงเชื่อพวกเขา รีบร่ายอาคมจุดไฟที่ยันต์ของตัวเองได้แล้ว อีกไม่นานเจ้าพวกนั้นจะต้องมาอีกแน่!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็เริ่มร่ายอาคมไปที่ยันต์ในมือ
มีเพียงจูเก่ออวิ๋นที่หยุดเคลื่อนไหว เขาไม่แม้แต่จะแตะต้องข้าวของของตัวเองเลยด้วยซ้ำ เขาไม่สามารถอธิบายได้ แต่คำพูดของนางฟังดูน่าเชื่อถืออย่างมาก ถึงแม้ว่านางจะไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียวก็ตาม
ตอนนี้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนล้วนแต่อยู่ในความสับสนอลหม่าน สมาชิกแต่ละกลุ่มยืนหันหลังชนกัน พวกเขาไม่ได้ยืนเรียงแถวกันเหมือนก่อนหน้านี้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับหันหน้ามองไปคนละทิศละทาง ทันทีที่พวกเขาขยับตัว พวกเขาก็สบถออกมาเสียงเบาว่า “บัดซบ! นี่มันกลางวันแสกๆ มิใช่หรือ เจ้าพวกนั้นมันมาจากไหนกัน!”
จูเก่ออวิ๋นยังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงตัวอะไร
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมรู้ดี ทั้งสองสบตากันอย่างมีเลศนัย ในตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความขบขัน
เซียวหลิงอวี้ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร โชคดีที่เขาหันหน้าไปทางทางเข้าสุสานหลวงพอดี ถ้าเจ้าพวกนั้นบินกลับมาอีก คนพวกนี้ก็จะเป็นโล่มนุษย์ช่วยซื้อเวลาให้กับเขา
“มาแล้ว!” ทันใดนั้นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ตะโกนขึ้น “พวกมันมาอีกแล้ว!”
จูเก่ออวิ๋นหันหน้ากลับไปมองด้วยความตกใจ สายลมสีดำสนิททะยานขึ้นจากขอบฟ้าพร้อมกับเสียงอันยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่เมื่อลองมองดูให้ดี เขาจึงตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่ลม แต่เป็นค้างคาวดูดเลือดจำนวนมหาศาลที่กำลังกระพือปีกอยู่ต่างหาก สิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วพวกนั้นพุ่งเข้าใส่กลุ่มที่ยืนอยู่ทางซ้ายสุดด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ!
คนพวกนั้นร้องลั่นและเริ่มจุดไฟที่ยันต์ของตัวเอง
แต่มันกลับไม่มีผลอันใดเกิดขึ้น!
ยิ่งพวกเขาเคลื่อนไหวมากเท่าใด ค้างคาวดูดเลือดก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น เสียงครวญครางดังขึ้นทันทีที่พวกมันกลืนกินร่างของคนคนหนึ่งเข้าไปทั้งตัว
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนที่เหลือก็พากันหันหลังวิ่ง ความกลัวของพวกเขาก็เหมือนกับค้างคาวผีพวกนี้ พวกเขาไม่มีทางกำจัดพวกมันได้เลย!
“นายน้อยเซียว ช่วย…” เขายังไม่ทันพูดคำว่า ’ข้า’ เลยด้วยซ้ำ เพียงพริบตาเดียวก็มีคนตายไปแล้วถึงสามคน!
เซียวหลิงอวี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาคำนวณผิดไปอย่างมหันต์ เขาคิดว่าสมาชิกกลุ่มที่ยังเหลืออยู่กับยันต์ในมือพวกนั้นจะช่วยซื้อเวลาให้กับเขาได้สักระยะหนึ่ง แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะมีค้างคาวจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นจนทำให้ทุกอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมเช่นนี้…”