องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 744 ภาคต่อของความอับอาย ข้าอยากปาเงินใส่เวยเวยชะมัด
- Home
- องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!
- บทที่ 744 ภาคต่อของความอับอาย ข้าอยากปาเงินใส่เวยเวยชะมัด
ราวกับเพิ่งรู้สึกตัว
ร่างอันงดงามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วจึงลดสายตาลงมองท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่รีบร้อน
จูเก่ออวิ๋นรู้ว่าเขาคงไม่สามารถหาช่องทางทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนได้ ดังนั้นเขาจึงหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยแทน “พี่เว่ยขอรับ”
สุดท้ายเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ต้องไว้หน้าเขา แม้ว่านางจะไม่อยากเป็นคนดีเลยก็ตาม “ค้างคาวใช้เสียงในการระบุตำแหน่ง พวกเราจะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ก็ต่อเมื่อรู้จักใช้เสียงอื่นมารบกวนการรับรู้ตำแหน่งของพวกมัน”
“ใช้เสียงรบกวนหรือ” ทุกคนมองหน้ากันอย่างสับสน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปหยิบกระดิ่งที่ห้อยอยู่ด้านหลังของจูเก่ออวิ๋นขึ้น “เราจะใช้เจ้านี่ ในเมื่อพวกเจ้ามีกระดิ่งนี้อยู่แล้ว เจ้าก็แค่นำมันมามัดต่อกัน แล้วเอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้พวกนี้ ลมพัดไปทางทิศตะวันตก เวลานี้ลมพัดมาจากทิศตะวันตก แต่ทิศที่พวกเราอยู่คือทิศตะวันออก”
กระดิ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคน โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะใช้ในการปลุกวิญญาณและการขับไล่วิญญาณร้าย และถ้าหากเจอผีดิบ กระดิ่งพวกนี้ก็ยังสามารถนำมาใช้คู่กับยันต์เพื่อตรึงการเคลื่อนไหวของพวกมันได้อีกด้วย
พวกเขารู้จักใช้กระดิ่งจัดการกับผีดิบ แต่พวกเขากลับไม่เคยคิดที่จะนำกระดิ่งพวกนี้มาใช้เพื่อป้องกันตัวจากค้างคาวมาก่อน
“เดี๋ยวสิ ถ้าแผนการนี้ไม่ได้ผลล่ะ” ยังมีคนจำนวนหนึ่งรู้สึกสงสัยในประสิทธิภาพของแผนการนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องลอง”
“ไม่ ข้าจะลองดู!” พวกเขาไม่มีเวลามากพอให้คิดถึงเรื่องนั้นอีกต่อไป เพราะเวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการรักษาชีวิตตัวเอง!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหยิบกระดิ่งของตัวเองออกมา แล้วใช้เชือกตรึงวิญญาณแขวนมันไว้บนกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
“เราต้องเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม” แม้จะอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย แต่เสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง “หนึ่งในพวกเราต้องถือเชือกเส้นนี้ไว้ และจะต้องสั่นกระดิ่งทันทีที่เห็นค้างคาวพวกนั้น”
“อืม ได้! ได้เลย!” เซียวหลิงอวี้พยักหน้า เวลานี้เขาดูเชื่อมั่นในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเต็มเปี่ยม และยังเชื่อในทุกคำพูดที่นางพูดออกมาอีกด้วย มีเพียงอย่างเดียวที่เขายังไม่ได้ทำ และนั่นก็คือการยอมรับนางเป็นลูกพี่นั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองไปด้านหลัง “พวกเราควรไปจากที่นี่ทันทีที่พวกเจ้าเตรียมการเสร็จ”
เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็เริ่มออกเดินไปทางปากทางเข้าสุสานหลวงโดยมีจูเก่ออวิ๋นเป็นผู้รับผิดชอบในการถือเชือก เด็กหนุ่มดูมีสมาธิกับเรื่องนี้อย่างมาก ระหว่างเดินเขาก็จะหันกลับไปมองที่ด้านหลังเป็นระยะเพื่อรอว่าจะมีค้างคาวปรากฏตัวขึ้นอีกหรือไม่ เขาจะได้สั่นกระดิ่งทันที
เชือกสีแดงเส้นนั้นมีความยาวอย่างมาก มันยาวพอที่จะทำให้ค้างคาวพวกนั้นบินกลับไปในทิศตรงข้ามได้เลยทีเดียว…
“พวกมันมาแล้ว! พวกมันกลับมาแล้ว!” จู่ๆ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามอง “อยู่เงียบๆ แล้วเดินต่อไป”
คนคนนั้นปิดปากเงียบทันที ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สายลมสีดำสนิทที่กำลังใกล้เข้ามา
จูเก่ออวิ๋นกะเวลาสั่นกระดิ่งได้อย่างแม่นยำ!
เสียงกระดิ่งดังกริ๊งๆ ช่วยเบี่ยงเบนการตัดสินใจของค้างคาวพวกนั้นได้เป็นอย่างดี พวกเขาเห็นค้างคาวจำนวนนั้นชะงักอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวกลับ แล้วบินตรงเข้าใส่กระดิ่ง!
ดวงตาของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นประกายเมื่อเห็นว่าแผนการได้ผล!
จูเก่ออวิ๋นไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว เพราะตราบใดที่เสียงกระดิ่งยังไม่หยุดดัง ค้างคาวก็จะบินวนอยู่รอบๆ บริเวณนั้น
พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้เดินอ้อมพวกมันและหนีไปได้!
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่จูเก่ออวิ๋นไม่เข้าใจ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ด้านหลังเขายังคงมีท่าทางเฉยเมยอย่างยิ่ง ราวกับว่าเขาไม่กลัวค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นเริ่มบินตามหลังเขา มองดูแล้วเหมือนกับพวกมันกำลังพยายามทำตัวเป็นเกราะกำบังให้เขาเสียอีก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้ดีว่าทำไมองค์ชายถึงได้เดินช้านัก
ค้างคาวดูดเลือดก็เหมือนกับพิราบสื่อสารธรรมดาในแดนปีศาจ และองค์ชายก็เคยใช้พวกมันในการส่งข่าว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาไม่ได้คิดหนีจากพิราบสื่อสารของตัวเอง ถ้าองค์ชายเผยกลิ่นอายออกมาแม้เพียงเสี้ยวเดียว ค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นคงได้ร่อนลงมาจากฟ้าแล้วคุกเข่ารับใช้เขาอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สงสัยในรสนิยมอันชั่วร้ายขององค์ชายเลยสักนิด นางหันหน้าไปกระซิบข้างหูเขาว่า “ทำไมพวกมันถึงโจมตีเข้ามาทีละระลอกแทนที่จะเข้ามาทีเดียวล่ะ ท่านทำอะไรลงไปหรือเปล่า”
ท่าทางตอนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้นนั้นดูสง่างามอย่างยิ่ง เสียงของเขาฟังดูราวกับกำลังจะบอกว่าทุกอย่างเพียงแค่เป็นไปอย่างที่มันควรเป็นเท่านั้น “เวลากินอาหารก็ต้องค่อยๆ กินทีละคำมิใช่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : สรุปว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้เป็นแค่มารยาทบนโต๊ะอาหารสำหรับองค์ชายนี่เอง
แดนปีศาจช่างแปลกประหลาดเหลือจะกล่าว มนุษย์ธรรมดาย่อมไม่มีวันเข้าใจ
“ยิ่งกว่านั้น…” ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้นขณะเอ่ยต่อ “วิธีนี้ก็ยังสนุกกว่าวิธีการธรรมดา ความตื่นตระหนกที่เหยื่อแสดงออกมาให้เห็นก่อนตายน่าสนใจจะตายไป”
ทารกที่ตัวโตกว่าเห็นด้วยกับมุมมองที่ผู้เป็นบิดามีต่อประเด็นนี้ และน่าแปลกที่เขาไม่ได้พูดจาเยาะเย้ยอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว เขาเพียงแค่ขยับตัวไปมา ดวงตาคู่โตของเขาเบิกกว้างและสะท้อนแสงสีแดงชั่วร้ายราวกับปีศาจ ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็พูดกับทารกที่ตัวเล็กกว่าว่า “รอจนกว่าข้าจะได้ออกไปก็แล้วกัน ข้าจะจับค้างคาวมาให้เจ้าเล่น”
“อืม” ทารกตัวน้อยทั้งสองยังคงสื่อสารกันด้วยช่องทางสื่อสารลับของพวกเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของเด็กในท้องเช่นกัน นางจึงหัวเราะออกมาเบาๆ นางหันไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วพูดให้เขากับนางได้ยินกันแค่สองคนว่า “วันนี้ลูกดูมีชีวิตชีวามากผิดปกติทีเดียว”
ไป๋หลี่เจียเจวี่ยไม่ได้ตอบ แต่กลับดึงมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยให้ห่างจากท้อง เสียงของเขาเย็นชาตอนที่พูดว่า “เลิกคิดถึงเขาตลอดเวลาได้แล้ว พวกเรายังมีการแข่งขันรออยู่! ถ้าเราแพ้ขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : พวกเขาจะแพ้ได้อย่างไรในเมื่อมีองค์ชายอยู่ทั้งคน
“เขาเล่นละครอีกแล้ว” ทารกที่ตัวโตกว่าแค่นหัวเราะ “เห็นได้ชัดว่าเขาอิจฉาพวกเรา”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าคุ้นเคยกับวิธีที่ผู้เป็นพี่สื่อสารกับบิดาของตัวเองดี ทั้งสองแค่มองตากันก็ไม่ถูกชะตา และยังพยายามแข่งกันแย่งความรักจากท่านแม่อยู่เสมอ
แต่เรื่องแปลกก็คือ ดูเหมือนท่านพ่อจะยังไม่สังเกตเห็นตัวตนของเขา ทั้งที่เขาก็เกิดมาในเวลาเดียวกันกับพี่ชาย…
ทารกที่ตัวเล็กกว่าไม่มีแรงคิดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเขารู้สึกหมดแรงทันทีที่พวกเขาเข้ามาในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องออกไปจากที่นี่พร้อมกับท่านพี่ให้ได้ เพราะท่านแม่ใช้เวลาอย่างยาวนาน และใช้ความพยายามอย่างมากไปกับการปลูกสตรอว์เบอร์รีแสนเอร็ดอร่อยนี้ให้กับพวกเขา
“เหนื่อยแล้วหรือ” ทารกที่ตัวโตกว่าสังเกตเห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มดูเซื่องซึม เขาจึงยื่นมือเล็กๆ ออกไปลูบศีรษะของคนตัวเล็กกว่าแล้วบอกว่า “เจ้านอนเถอะ พี่ชายจะอยู่ที่นี่กับเจ้าเอง”
“อืม…”
ทารกน้อยทั้งสองรักใคร่สนิทสนมกันอย่างมาก คนเป็นพี่มักจะดูแลคนเป็นน้องอยู่เสมอ
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเดินทะลุป่าออกมาได้สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่ที่มีแสงแดดส่องถึง ค้างคาวดูดเลือดเหล่านั้นย่อมไม่สามารถมายังสถานที่แห่งนี้ได้
สายตาที่นายน้อยเซียวมองเฮ่อเหลียนเวยเวยแตกต่างจากในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง มันเต็มไปด้วยความชื่นชมจากใจจริง
อันที่จริงนั้น ต่อให้นายน้อยเซียวจะทำตัวแย่เพียงใด หรือต่อให้เขาจะชอบดูถูกผู้อื่น และเป็นคนขี้ขลาดตาขาว แต่ลึกลงไปในใจ เขาก็ปรารถนาว่าตัวเองจะได้เป็นวีรบุรุษเหมือนคนอื่นๆ
อย่างไรเขาก็เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้าย และเขาปรารถนาที่จะได้สังหารปีศาจมาตั้งแต่ยังเด็ก
ทันทีที่ได้เห็นความสามารถของเฮ่อเหลียนเวยเวย นายน้อยเซียวก็ผลักจูเก่ออวิ๋นออกไปด้านข้าง พร้อมกับหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วเอ่ยอย่างวางท่าว่า “พี่ชาย ท่านสนใจอยากเข้าตระกูลเซียวของข้าหรือไม่ ถ้าท่านเข้าตระกูลเรา ข้าจะจ่ายเงินให้ท่านเป็นสิบเท่าจากที่ตระกูลจูเก่อจ้างท่านเอง!”
นายน้อยเซียวคิดว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน และมันจะช่วยรับประกันได้ว่าเขายังมีโอกาสที่จะชนะอยู่ แต่ถ้าเขาปฏิเสธ คนที่ชนะจะกลายเป็นจูเก่ออวิ๋น
เขาจะยอมให้เจ้าคนหัวทึบนั่นได้โอกาสนี้ไปในราคาถูกๆ ได้อย่างไร