องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 749 อยู่ในขั้นตอนของการตบหน้า!
“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น” จูเก่ออวิ๋นพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
หนีหู่ถามต่อ “เจ้าไม่ได้ทำหรือ ทุกคนก็เห็นว่าเจ้ามาถึงหลังพวกข้า! แล้วเจ้าจะเป็นคนปักธงสีแดงอันนั้นได้อย่างไร พี่อวิ๋น เจ้าอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่พวกเรา!”
“ข้ามาถึงก่อนจริงๆ พวกเรารออยู่นานจนข้ากลัวว่าพี่เว่ยจะหิว ก็เลยไปจับปลามาต่างหาก!” จูเก่ออวิ๋นพยายามอธิบาย เขาไม่คิดเลยว่าหนีหู่จะหาเรื่องมาโจมตีเขาได้เพียงเพราะเขาออกไปจับปลา
หนีเปียวมีประสบการณ์และฉลาดหลักแหลมกว่าหนีหู่ เพียงมองครั้งเดียว เขาก็รู้แล้วว่าจูเก่ออวิ๋นกับสองคนนั้นน่าจะเป็นคนที่ปักธงสีแดงไว้จริง
ต่อให้เขาจะรู้เช่นนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีอีกฝ่ายได้!
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้พูดเช่นนั้นออกไปแล้ว และทุกคนที่อยู่รอบๆ นี้ต่างก็คาดหวังว่าตระกูลหนีจะเป็นผู้ชนะ
ถ้าพวกเขาปล่อยให้จูเก่ออวิ๋นพลิกเกมกลับมาได้ด้วยผลการแข่งนี้ แล้วพวกเขาจะเอาเกียรติยศของตระกูลหนีไปไว้ที่ไหน
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด อย่างไรพวกเขาก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหานี้ให้ได้ พวกเขาย่อมไม่สามารถปล่อยให้จูเก่ออวิ๋นกับสองคนนี้คว้าชัยชนะไปได้เด็ดขาด!
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หนีเปียวจึงพูดขึ้นว่า “หลานชาย ใช่ว่าพวกข้าจะไม่มีเหตุผล เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนที่ปักธงสีแดงนั้น แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็เพียงแค่ออกไปจับปลา แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว มีใครสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่ากลุ่มของเจ้าเป็นคนนำธงไปปักไว้ ถ้ามีใครสามารถเป็นพยานให้เจ้าได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะยอมรับว่าเจ้าเป็นผู้ชนะ”
น้ำเสียงที่หนีเปียวใช้พูดนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความสุภาพและสุขุมเยือกเย็น แต่อันที่จริงนั้นเขากลับกำลังสื่อว่าถ้าไม่มีพยาน ก็ยังถือว่าพวกเขาไม่ได้ชนะ!
จูเก่ออวิ๋นคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเช่นหนีเปียวจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ เขากำมือทั้งสองข้างแน่นด้วยความโกรธ “ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ นี้แม้แต่คนเดียวตอนที่พวกข้ามาถึง นอกจากพวกข้าสามคนแล้ว ใครจะสามารถเป็นพยานให้เราได้”
“เช่นนั้นก็คงไม่มีหนทางแล้วกระมัง” ใบหน้าของหนีเปียวเต็มไปด้วยความเห็นใจ “หลานชาย ใช่ว่าข้าจะทำตัวไม่มีเหตุผล แต่เจ้าก็พูดเองว่าไม่มีใครเห็น ยิ่งกว่านั้นเจ้าเองก็เดินเข้ามาจากด้านหลังของพวกเรา เรื่องนี้ยากจะเชื่อได้จริงๆ”
จูเก่ออวิ๋นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความจริงแล้วหนีเปียวจะเป็นคนเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพราะความทรงจำของเขายังคงหยุดอยู่ตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นเด็ก หรือไม่ก็เป็นหนีเปียวเองที่ไม่เคยแสดงด้านที่แท้จริงออกมา
ไม่มีทางที่หนีเปียวจะไม่รู้ว่าหนีหู่กำลังกลั่นแกล้งตระกูลจูเก่ออยู่!
ท่านลุงหรือ เหลวไหลทั้งเพ!
เขาก็แค่อยากปิดฉากเรื่องนี้ด้วยการใช้ฐานะของตัวเองมาข่มก็เท่านั้น!
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นแดงก่ำเป็นสีเลือดด้วยโทสะ แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็ยังรู้สึกกังขาในตัวเขา พวกเขาจำต้องพิจารณาถึงความจริงเรื่องนี้อีกครั้ง และที่เป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่นใด แต่เป็นเพราะว่าหนีเปียวเป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นมานั่นเอง
หนีหู่สังเกตสถานการณ์แล้วก็ยิ่งได้ใจ เขาหันกลับไปพูดกับจูเก่ออวิ๋นว่า “ดูกลุ่มของเจ้าให้ดีๆ สิ เจ้าคิดว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายฝีมือครึ่งๆ กลางๆ อย่างเจ้ากับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองสองคนนั้นจะสามารถเอาชนะพี่สาวของข้าได้หรือ พี่อวิ๋น อย่าโกหกให้มากนักเลย เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่หรือ”
สายตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจับจ้องอยู่ที่จูเก่ออวิ๋น ความสงสัยในดวงตาของพวกเขายิ่งแจ่มชัดขึ้นเมื่อได้ฟังคำพูดของหนีหู่!
จูเก่ออวิ๋นไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้เช่นนี้มาก่อน เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตระกูลหนีจะหน้าด้านกันถึงเพียงนี้ เขาโมโหจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง!
แน่นอนว่าหนีเฟิ่งย่อมตระหนักได้ว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย นางทำเพียงยืนอยู่เงียบๆ ข้างๆ พวกเขาราวกับยอมรับว่าคำพูดของหนีหู่ล้วนแต่เป็นความจริง
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางหลุบตาลง แล้วขยับนิ้วเรียวที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวจนได้กลิ่นยาสมุนไพรลอยออกมา แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
นางดูเงียบผิดปกติตั้งแต่ที่พวกของเฮ่อเหลียนเวยเวยปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครสังเกตเห็นนาง แต่นางก็มองกลอุบายทั้งหมดของตระกูลหนีออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เห็นด้วยกับพวกเขาเท่าใดนัก
“พี่อวิ๋น ถึงเจ้าจะไม่ชนะก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าไม่ควรโกหก ภาชนะกลวงๆ ย่อมทำให้เกิดเสียงดังอย่างที่สุด” เมื่อสังเกตเห็นว่าจูเก่ออวิ๋นอับจนด้วยคำพูด หนีหู่ก็รุกไล่เขา ในเมื่อไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ากลุ่มของจูเก่ออวิ๋นเป็นคนปักธง ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด และคนที่จะชนะก็ยังเป็นตระกูลหนี!
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นทั้งสามในสภาพแขนขาหักอย่างน่าเวทนา แต่เขาก็รู้สึกพอใจอย่างมากที่พวกเขาสามารถทำให้คนพวกนี้อับอายขายหน้าได้!
เขาไม่ได้สังเกตรอยยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยด้วยซ้ำ ดวงตาเย็นชาของนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยันในระหว่างที่เขาพูดขึ้น
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว ย่อมไม่มีความจำเป็นใดๆ ให้พวกเราต้องคุยเรื่องนี้กันอีก” หนีหู่ชำเลืองมองผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างๆ “ผลการแข่งขันนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ในเมื่อพี่สาวของข้าเป็นคนแรกที่มาถึงทางเข้าสุสานหลวง ตระกูลหนีย่อมเป็นผู้ชนะ!”
“เจ้า!” จูเก่ออวิ๋นกัดริมฝีปากด้วยความเดือดดาลและรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาอยากเดินเข้าไปหาคนตระกูลหนีแล้วฉีกพวกเขาให้เป็นชิ้นๆ แต่เขาก็รู้ว่าพลังของตัวเองมีจำกัด แทนที่จะปกป้องชัยชนะของตัวเองเอาไว้ เขาจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้คนพวกนั้นเล่นงานเขาแทน!
ในขณะที่จูเก่ออวิ๋นกำลังจะยอมแพ้นั่นเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จับแขนของเขาเอาไว้
ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่หนีเปียว และน้ำเสียงของนางก็ไม่ได้ฟังดูเร่งรีบแต่อย่างใด “ข้าเพิ่งเคยเห็นตระกูลหนีประพฤติตัวตกต่ำถึงเพียงนี้ การยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้แพ้เวลาที่คนอื่นชนะย่อมเป็นเรื่องยาก แต่ท่านกลับยังกล้าป่าวประกาศว่าผู้ชนะที่แท้จริงคือตัวท่านเองได้อย่างหน้าด้านๆ ช่างไร้ยางอายเสียไม่มี นายท่านหนีไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตระกูลหนีในสายตาผู้อื่นหรือ”
ใบหน้าของหนีเปียวดำคล้ำทันทีที่ได้ยินดังนั้น เขาหัวเราะอย่างเย็นชา “น้องชายผู้นี้ได้โปรดระวังคำพูดด้วย ไม่ใช่ทุกคนจะมีความอดทนเหมือนอย่างข้า จะได้ปล่อยให้เจ้าดูถูกและทำลายชื่อเสียงของตระกูลหนีครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้! ฝ่ายที่ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่ากลุ่มของเจ้าเป็นคนปักธงไว้ตรงนั้นคือฝ่ายของเจ้าต่างหาก!”
“นายท่านหนี ท่านหมายความว่าตราบใดที่ข้าสามารถหาหลักฐานมาได้ มันก็จะพิสูจน์ได้หรือว่าท่านเป็นคนหน้าด้านไร้ยางอาย” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน
ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวแทบจะทำให้หนีหู่ระเบิดโทสะออกมา!
เขาเป็นคนอารมณ์ร้ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ารอบตัวเขายังมีคนอยู่มากมาย ป่านนี้เขาก็คงได้ก่อเรื่องวิวาทขึ้นแล้ว!
จะให้เขาทนกับคนที่กล้าท้าทายชื่อเสียงของตระกูลหนีเช่นนี้ได้อย่างไร
“ถ้าเจ้าเก่งนักก็หาหลักฐานมาสิ! ข้าจะบอกให้ว่าข้าไม่ใช่คนพูดง่ายเหมือนท่านพ่อ ถ้าเจ้าไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นก็อย่าโทษพวกเราตระกูลหนีว่าไม่มีเมตตา!” หนีหู่แยกเขี้ยว แน่นอนอยู่แล้วว่าย่อมไม่มีใครอยู่ที่นี่และเห็นตอนที่พวกเขาปักธงนั้นลงกับพื้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาหนีหู่ “แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าข้าสามารถหาพยานมาได้จริงๆ ล่ะ”
“โกหก!” หนีหู่หัวเราะเยาะ “ถ้าเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าธงสีแดงอันนั้นเป็นของกลุ่มเจ้า ข้าจะยอมคุกเข่าคารวะเจ้าเป็นปู่ของข้าเลยก็แล้วกัน! ข้าทนพวกเจ้ามานานเกินพอแล้ว! พวกเจ้ากล้ามาถึงเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้อย่างไรทั้งที่ตัวเองไร้ฝีมือเช่นนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตระกูลหนีจะรังแกได้ง่ายๆ!”