องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 750 ความอัปยศอันสูงสุด
“ตกลง” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทหนีหู่ นางรับมือกับความอวดดีของหนีหู่ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น น้ำเสียงของนางไม่ได้ดังเกินไปนัก มันติดจะค่อนข้างเย็นชา แต่กลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งอย่างยากจะมองข้ามได้ ”นายน้อยหนีเป็นคนพูดเอง เงาทมิฬ ไปเอาธงสีแดงนั่นมา เราจะให้นายน้อยหนีได้เห็นชัดๆ ว่าใครเป็นคนปักธงนั่นกันแน่”
ร่างร่างหนึ่งปรากฏผ่านดวงตาของทุกคนไปด้วยความเร็วสูงทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ จากนั้นธงสีแดงก็มาตั้งอยู่ตรงหน้าหนีหู่ในชั่วพริบตา
ธงสีแดงผืนนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก ดังนั้นหนีหู่จึงไม่ใส่ใจกับมันมากนัก แม้ว่ามันจะตั้งขวางทางอยู่ตรงหน้าเขาก็ตาม คำพูดของเขากลับยิ่งเต็มไปด้วยน้ำเสียงดูถูก ”อะไร เจ้ากำลังพยายามอวดฝีมือตัวเองด้วยการเรียกคนคนนั้นมา แล้วเรียกการทำเช่นนี้ว่าหลักฐานหรือ ที่ตระกูลหนีของเรามีคนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ถมไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองเขาราวกับไม่แยแส แล้วใช้มือข้างหนึ่งพลิกธงสีแดงขึ้น นิ้วชี้อันเรียวยาวของนางชี้อยู่ที่เสาไม้ไผ่ นางยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด น้ำเสียงของนางฟังดูค่อนข้างเกียจคร้าน ”นายน้อยหนี เจ้าก็คิดมากเกินไป สิ่งที่ข้าแสดงให้เจ้าดูไม่ใช่ตัวของเงาทมิฬ แต่เป็นธงสีแดงนี่ต่างหาก ถ้ามีเวลาเจ้าก็ให้ท่านพ่อของตัวเองพาไปตรวจสายตาบ้างก็ดี เจ้าไม่เห็นตัวอักษรตัวโตๆ บนนี้จริงๆ หรือ”
หนีหู่ยังลำพองใจอย่างมาก คางของเขายังคงเชิดสูง แต่ในที่สุดเขาก็เคลื่อนสายตามองไปที่ธงสีแดงผืนนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย
มองเพียงครั้งเดียว ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เบิกกว้าง รูม่านตาของเขาหดตัวอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังสำลักอะไรสักอย่าง รอยยิ้มหยิ่งผยองที่เคยมีในตอนแรกพลันถูกแช่แข็งอยู่บนริมฝีปากนั้นทันที!
หนีเปียวมองไปที่ธงเช่นกัน เดิมทีธงสีแดงผืนนั้นปักอยู่ในแนวตั้ง แต่ตอนนี้มันถูกพลิกกลับหัวลง
เขาเพิ่งสังเกตเห็นคำที่เขียนอยู่บนนั้นได้ก็ตอนนี้นี่เอง!
แม้จะเป็นเพียงเส้นไม่กี่เส้น แต่ลายมือนั้นก็ทั้งยิ่งใหญ่และทรงพลัง ดูจากการที่หมึกแห้งดีแล้ว ย่อมหมายความว่าคำคำนี้คงถูกเขียนเอาไว้บนนั้นมาเป็นเวลานานพอสมควร
ทันใดนั้น!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนต่างก็ส่งเสียงแตกตื่นราวกับน้ำเดือด!
“จูเก่อ! ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนธงคือคำว่าจูเก่อ!”
“เช่นนั้นก็หมายความจูเก่ออวิ๋นเป็นคนปักธงสีแดงผืนนี้ไว้ที่นั่นน่ะสิ!”
“สรุปว่าคนกลุ่มแรกที่มาถึงทางเข้าสุสานหลวงไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของตระกูลหนี แต่เป็นนายน้อยของตระกูลจูเก่อหรือ”
“โอ้สวรรค์! พวกเขามาถึงที่นี่ก่อนพวกเราถึงสามชั่วยามเชียวรึ ทำได้อย่างไรกัน”
“เมื่อครู่นี้ข้าดูแผนที่มา ดูเหมือนว่าเส้นทางที่พวกเขาได้จะยากลำบากกว่าของพวกเราเสียอีก พวกเขาต้องผ่านน้ำตกแห่งนั้นมา พวกเจ้าก็รู้ว่าที่นั่นมีอะไรอยู่ ข้าคิดว่าพวกเขาคงตายไปแล้วเสียอีก!”
“น่าทึ่งยิ่งนัก พวกเขาช่างน่าทึ่งจริงๆ!”
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่หลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทุกทางราวกับกระแสน้ำหลาก
แม้แต่จูเก่ออวิ๋นเองก็ยังดูงุนงงเล็กน้อย เขาเพียงยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นเพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคำพวกนี้เขียนอยู่บนธง ทั้งสองคนไม่เคยบอกเขาเลยว่าบนธงสีแดงผืนนี้มีสัญลักษณ์ของตระกูลจูเก่ออยู่!
แม้จะสังเกตเห็นสีหน้างงงวยของเขา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้พูดอะไร นางกลับทำเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ ปกติแล้วเวลาที่นางทำอะไร นางมักจะมีกลอุบายบางอย่างซุกซ่อนเอาไว้เสมอ
ยิ่งกว่านั้น ในฐานะที่นางเป็นถึงประธานจอมเผด็จการและเจ้าแม่ค้าอาวุธ นางจึงค่อนข้างหวงเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างมาก ดังนั้นในเมื่อนางเป็นคนแรกที่ขึ้นมาถึงยอดเขาแห่งนี้ แล้วมีหรือที่นางจะไม่ทิ้งสัญลักษณ์ของตัวเองเอาไว้
“หมายความว่าตระกูลหนีแพ้หรือ” ใครคนหนึ่งถามขึ้นแล้วหันไปมองหนีหู่กับหนีเปียว
หนีหู่นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้ เขาไม่เคยถูกใครมองด้วยสายตาเช่นนี้ และยังไม่เคยประสบพบเจอกับเรื่องเช่นนี้มาก่อนอีกด้วย เขาเคยชินกับการถูกทุกคนยกยอปอปั้นมาตั้งแต่เกิด เขารู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งใบหน้า และรู้สึกอยากเงื้อกระบี่ขึ้นกำจัดเฮ่อเหลียนเวยเวยไปเสียเดี๋ยวนั้น
แต่หนีหู่รู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรนางได้เลย นับประสาอะไรกับการสังหารนางต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนี้!
สีหน้าของหนีเปียวเองก็แย่มากเช่นกัน จู่ๆ แผนการที่เดิมเคยอยู่ในกำมือของเขาก็กลับพลิกผันเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความคาดหมายมากมาย มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังสามารถเอาชนะพวกเขาไปได้ในรอบแรกอีกด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นการตบหน้าตระกูลหนีของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
บางทีเขาอาจจะใจดีเกินไป ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก เขาก็คงสั่งให้เหล่าซวีจัดการกำจัดเจ้าสามคนนี้ไปแล้ว!
แต่ความไม่พอใจของหนีเปียวก็ทำให้เขาลืมไปเสียสนิทว่าเหล่าซวียังไม่มาปรากฏตัว
หนีเฟิ่งยืนอยู่ที่ด้านหลังของหนีเปียว คิ้วรูปใบหลิวของนางขมวดเข้าหากันโดยไม่ตั้งใจพร้อมๆ กับนิ้วสีขาวซีดที่กำแน่นเข้าหากัน ถึงตอนแรกนางจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ แต่นางก็รู้สถานการณ์ทางบ้านตัวเองเป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงรู้ว่าผู้เป็นบิดาและน้องชายของนางต้องการทำอะไร และนางก็เพียงแค่เล่นตามน้ำเท่านั้น แต่นางนึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะนางได้จริงๆ
มันเป็นไปได้อย่างไร
ผู้พิทักษ์ประจำตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นคนคุ้มกันและพานางมาที่นี่ด้วยตัวเอง แต่คนพวกนี้มาถึงเร็วกว่านางได้อย่างไร
แต่ธงสีแดงที่มีคำว่า ’จูเก่อ’ ประทับอยู่ได้อธิบายทุกสิ่งจนกระจ่างแล้ว
ไม่ว่าตระกูลหนีจะพยายามปกป้องตัวเองอย่างไร้ยางอายเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเปล่งเสียงอันใดออกมาได้อีกหลังจากได้เห็นธงสีแดงผืนนั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตสีหน้าของพวกเขาอย่างไม่แยแส นางไล้ปลายนิ้วไปตามธงผืนนั้น ก่อนจะกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า ”นายน้อยหนี เจ้าเห็นหลักฐานแล้วนี่ ทีนี้ต่อไปก็ถึงตาเจ้าลงไปคุกเข่าแล้วเรียกพวกเราว่าปู่แล้วมิใช่หรือ หืม”
“เจ้า!” หนีหู่ระเบิดอารมณ์ออกมา เพราะเขานึกไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าบอกให้เขาทำเช่นนั้นจริงๆ ”เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้ากล้าสั่งให้ข้าคุกเข่าให้เจ้าได้อย่างไร! ฝันไปเถอะ!”
ดวงตาทั้งสองข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาของนางที่มองไปที่หนีหู่หนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ ”เจ้าจะกลับคำหรือ”
หนีหู่รู้สึกได้ถึงสายตาที่ทุกคนรอบตัวจับจ้องมาที่เขาได้ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของนาง สายตาเย้ยหยันแฝงไปด้วยความรังเกียจพวกนั้นทำให้โทสะของเขาปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขากลับทำได้เพียงแค่กลืนก้อนโทสะเหล่านั้นกลับลงไป!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยตกเป็นผู้แพ้มาก่อน ดังนั้นนับประสาอะไรกับการตกอยู่ในสถานการณ์ที่คนพวกนี้พยายามจะทำให้นางต้องอับอาย นางหันหน้ากลับไป แล้วพูดกับหนีเปียวว่า ”นายท่านหนี ท่านเป็นคนบอกว่าพวกเราควรหยุดทำลายชื่อเสียงของตระกูลหนีหากเราไม่มีหลักฐาน แต่พฤติกรรมที่บุตรชายของท่านกระทำในเวลานี้กลับแสดงถึงความหน้าด้าน ไร้ยางอาย และพูดจากลับกลอกไร้ซึ่งความซื่อสัตย์ได้อย่างชัดเจน นายท่านหนี นี่คือสิ่งที่ตระกูลหนีสั่งสอนสมาชิกในตระกูลของตัวเองจริงๆ หรือ หึๆ สมญานาม ’ผู้ปกป้องเส้นทางแห่งชีวิต’ เป็นเพียงคำพูดที่ท่านใช้หลอกลวงผู้อื่นหรือ”
หนีเปียวไม่เคยถูกใครบีบบังคับจนถึงขั้นนี้มาก่อน ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงกลายเป็นสีเขียวไปทั้งหน้า เขาโมโหมากเสียจนไม่สามารถฝืนปั้นยิ้มออกมาได้อีกต่อไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ ”ข้าเข้าใจดีว่าในสายตาของนายน้อยหนี พวกข้าเป็นเพียงแค่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองไม่กี่คน พวกเราไม่มีทั้งอำนาจ และยังไม่สามารถกำจัดปีศาจได้ ดังนั้นต่อให้พวกข้าถูกรังแก มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ประการใด เพราะอย่างไรเขาก็เป็นถึงนายน้อยแห่งตระกูลหนี”
ประโยคธรรมดาๆ ของนางกลับยกระดับความรุนแรงของปัญหานี้ขึ้นได้ในทันที
การรังแกผู้อ่อนแอเป็นเรื่องที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่สามารถยอมรับได้
เดิมทีนั้นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ต่างก็มีความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับพฤติกรรมของหนีหู่อยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ฟังที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด พวกเขาก็มองไปที่ตระกูลหนีด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจที่จะลงโทษพวกเขา
หนีเปียวรู้ว่าเขาจำเป็นต้องให้คำอธิบายกับทุกคน ไม่อย่างนั้นระยะเวลาหลายปีที่เขาทุ่มเทไปกับการสร้างชื่อเสียงของตัวเองคงสูญเปล่า!
หนีหู่ยังคงแย้งต่อ เขาตระหนักถึงเรื่องสำคัญที่ว่านั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ ”เจ้ามัวแต่พูดจาเหลวไหลอะไรอยู่ ข้าเคยกลั่นแกล้งเจ้าตอนไหนกัน” เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสองคนนั้นต่างหากที่เป็นฝ่ายทำร้ายเขาตอนอยู่หน้าจวนจูเก่อ!
“ข้ายังไม่ทันได้สะสางบัญชีเก่ากับพวกเจ้าเลยด้วยซ้ำ! อย่าได้กล้าดี...”