องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 754 อดีตชาติของทั้งสอง
หนีเปียวสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง เขากำลังสงสัยว่าทำไมพวกเหล่าซวียังมาไม่ถึงทางเข้าสุสานหลวงเสียที
ตามแผนการที่วางไว้ พวกเขาควรจะมาถึงแล้ว
เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจคลาดสายตาจากจูเก่ออวิ๋นและกลุ่มของเขาไปในระหว่างทางขึ้นมาที่นี่ แต่ด้วยความสามารถของพวกเขา พวกเขาควรจะมาถึงที่นี่ก่อนหมดเวลา
เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาพบเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเข้า
หนีเปียวมองไปรอบๆ ดวงตาของเขาจมดิ่งลงสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง
ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วกระซิบบางอย่างข้างหูเขา
ดวงตาของหนีเปียวหรี่ลงทันที ”หาไม่เจอหรือ” เรื่องนี้ชักเริ่มไม่เข้าทีเสียแล้ว พวกของเหล่าซวีหายไปไหน
ศิษย์คนนั้นมองหน้าหนีเปียว แล้วเดาขึ้นว่า ”เป็นไปได้หรือไม่ขอรับว่าพวกเหล่าซวีจะถูกอสูรที่อยู่ใต้น้ำตกซางไฮ่กินไปแล้ว”
หนีเปียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ”ไม่น่าเป็นไปได้” แม้แต่เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้ก็ยังสามารถข้ามน้ำตกซางไฮ่มาจนถึงทางเข้าสุสานหลวงได้ นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่ได้ปลุกอสูรตัวนั้นให้ตื่นขึ้น ดังนั้นเหล่าซวีเองก็น่าจะไม่มีปัญหาในการข้ามน้ำตกมาเช่นกัน ”ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พวกเราเข้าไปในสุสานหลวงกันก่อนก็แล้วกัน เจ้ายืนเฝ้ายามและยืนรอเหล่าซวีอยู่ที่ทางเข้านี่ก็แล้วกัน บอกเขาด้วยล่ะว่าให้รออยู่ที่นี่”
ถ้ามีเรื่องผิดแผนเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พระสรีระมาแล้ว อย่างน้อยเหล่าซวีที่อยู่ตรงทางเข้าก็คงสามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง
คนหยิ่งผยองเช่นหนีเปียวย่อมไม่คิดถึงความเป็นไปได้อื่นเลยแม้สักนิด เขาไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าการที่เหล่าซวีหายตัวไปอย่างไร้วี่แววเช่นนี้จะเป็นเพราะเขาถูกใครบางคนจัดการไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงนั้นคนที่เป็นต่อในสุสานหลวงแห่งนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นราชาปีศาจ…
คนที่ยืนอยู่ถัดไปจากเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังใช้ดวงตาอันลึกล้ำของตัวเองตรวจสอบผนังศิลาบริเวณทางเข้าสุสานหลวงอยู่ เขาดูเฉลียวฉลาดอย่างมากเมื่อมองจากด้านข้าง แม้ภายนอกนั้นมันจะเต็มไปด้วยความสูงส่งและสง่างาม แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับมีความชั่วร้ายปรากฏขึ้นทันทีที่เขาก้มหน้าลงยิ้มกับตัวเอง ”น่าสนใจดีนี่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”อะไรน่าสนใจหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดเสื้อคลุมตัวยาวของตัวเองพร้อมกับมองทางลับที่มุ่งตรงเข้าสู่สุสานหลวง ”เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้ามองไปที่สุสานหลวง จู่ๆ ข้าก็นึกถึงสหายเก่าคนหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น ”สหายเก่าหรือ ท่านหมายถึงหนีเฟิ่งหรือ”
“ไม่ใช่คนสำคัญหรอก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบสั้นๆ จากนั้นจึงพาเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าสู่สุสานหลวง
เขาไม่ได้บอกให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าความจริงแล้วสหายเก่าที่เขาพูดถึงก็คือตัวนางในอดีตชาตินั่นเอง
ว่ากันว่านางเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีชีวิตเป็นอมตะและยังน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด
เมื่อชาติที่แล้วนางน่าจะอาศัยอยู่แถวนี้ และในเวลานั้น เขาเองก็อาศัยอยู่บนภูเขาลูกนี้เช่นกัน
แม้เขาจะไม่เคยพบกับนางมาก่อน แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังธรรมะที่อยู่รอบภูเขาไท่ไป๋ได้
เขาไม่รู้ว่าร่างจริงของพลังธรรมะนั้นคืออะไร แต่เขาก็ยังสามาถสัมผัสถึงมันได้แม้จะอยู่ในแดนปีศาจที่ลึกลงไปใต้ดินกว่าสามฉื่อ
ในเวลานั้น เขายังไม่สนใจที่จะพิชิตแดนปีศาจ เขามีชีวิตอยู่เพียงแค่การล่าและฆ่าฟันเท่านั้น
สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือการมองสีหน้าอันหวาดกลัวและการกระเสือกกระสนของมนุษย์ที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย
ส่วนมากคนพวกนั้นจะสวดอ้อนวอนต่อทวยเทพและหวังว่าเทพเหล่านั้นจะช่วยชีวิตพวกเขาได้
เทพอย่างนั้นหรือ
เขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนั้นมาโดยตลอด
แทนที่จะสวดอ้อนวอนต่อเทพ พวกเขาควรจะอ้อนวอนปีศาจเช่นเขามากกว่า
อย่างน้อยเขาก็สามารถช่วยพวกเขาแก้แค้นได้ ทั้งยังสามารถมอบสุดยอดความปรารถนาให้กับพวกเขาได้อีกด้วย
แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมต้องแลกด้วยวิญญาณของพวกเขา
แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าวิญญาณพวกนั้นล้วนแต่ธรรมดาเกินไป ทุกคนต่างก็เหมือนกัน
พวกเขาเต็มไปด้วยความโลภ และมันน่าเบื่อหน่ายสำหรับเขา
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรู้สึกพอใจมาก่อนจนกระทั่งได้พบกับพลังธรรมะที่ว่านั่น พลังนั้นช่วยบรรเทาความหุนหันพลันแล่นของเขาลง ก่อนจะค่อยๆ แทนที่มันด้วยความสงบในใจ…
“ดูเหมือนท่านพ่อจะคิดถึงคนรักเก่าอยู่” ทารกที่ตัวโตกว่าในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัว แล้วเยาะขึ้นต่อ ”ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเราคงพึ่งเขาไม่ได้ ทันทีที่ข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าจะดูแลเจ้ากับท่านแม่เอง พวกเราไปอยู่ให้ไกลจากเขาดีกว่า”
ทารกที่ตัวเล็กกว่ารู้สึกอยากกุมขมับเพราะพี่ชายมักจะต่อต้านผู้เป็นพ่ออยู่เป็นประจำ เขาแทบจะสามารถทำนายได้ทีเดียวว่าทันทีที่พวกเขาลืมตาดูโลก ผู้เป็นพ่อคงไม่ทนพวกเขาอีกต่อไป เขาคงจะหานางกำนัลมาดูแลลูกๆ แทนอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรท่านพ่อของเขาก็ไม่ยอมให้ใครมารบกวนเขากับท่านแม่ แต่…
“ท่านพี่ วันนี้พลังของท่านเปลี่ยนไปหรือเปล่าขอรับ” ทารกที่ตัวเล็กกว่าถามพร้อมกับทำตาโต
ทารกที่ตัวโตกว่ากอดคนตัวเล็กกว่าอย่างระมัดระวังราวกับกำลังปกป้องเขา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ”อืม ทันทีที่พวกเราเข้าสู่สุสานหลวง ข้าก็จะยิ่งมีพลังเพิ่มมากขึ้น ข้ารู้ว่าเจ้าคงปรับตัวไม่ทัน ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องชำระล้างร่างของข้าอีก ทำเพียงแค่หลับตาลงแล้วหลับให้สนิทก็พอ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องปีศาจพวกนั้น ท่านพ่อย่อมไม่มีวันปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่อย่างแน่นอน”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วงเรื่องปีศาจขอรับ ถ้าท่านพ่อตัดสินใจที่จะแสดงฝีมือ พวกมันคงทำได้เพียงแค่วิ่งหนีไปเหมือนอย่างตัวที่อยู่ใต้น้ำตกวันนี้ มันไถลตัวหนีเร็วกว่าปลาตีนตัวน้อยเสียอีก สิ่งที่ข้าเป็นห่วงอยู่ก็คือพลังปราณหยินอันหนาแน่นอย่างมากในสุสานหลวงต่างหากขอรับ มันอาจทำให้ท่านแม่ถูกสิงได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้า…” ทารกที่ตัวเล็กกว่ายังพูดไม่ทันจบประโยคดี
ทารกที่ตัวโตกว่าก็ตัดบทเขา แล้วพูดเพียงสั้นๆ ว่า ”มีพี่อยู่”
ทารกที่ตัวเล็กกว่ามองทารกตัวโตกว่าด้วยดวงตาสีแดงเป็นประกาย จากนั้นจึงส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับพยักหน้า เขาเชื่อใจเทพผู้พิทักษ์ของเขาอย่างสุดหัวใจ
ทารกที่ตัวโตกว่าตบหลังเขาอย่างเงอะงะแต่ก็หนักแน่น
ทั้งสองกอดกันกลม หน้าผากชนหน้าผาก ช่างเป็นคู่พี่น้องที่รักใคร่อบอุ่นยิ่งนัก
ดูเหมือนสิ่งที่ผู้คนกล่าวกันไว้จะเป็นเรื่องจริง หัวใจของแม่มักจะเชื่อมโยงกับผู้เป็นลูก เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตถึงการเคลื่อนไหวในท้องของตัวเองได้ นางจึงยิ้มออกมา แล้วลูบท้องตัวเอง สีหน้าของนางดูอ่อนโยนทีเดียว
หลังจากเข้ามาถึงสุสานหลวง ฝูงชนก็เงียบเสียงลง
โดยเฉพาะชายชราที่เคยเป็นโจรปล้นสุสานมาก่อน เขาเดินนำทางทุกคนทั้งที่ยังสั่นไปทั้งตัว
สีหน้าของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นเช่นกัน
“ไม่ พวกเราทำเช่นนี้ไม่ได้” ผู้อาวุโสคนนั้นส่ายหน้าแล้วพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า ”พวกเราเข้าไปข้างในไม่ได้ ทันทีที่ท่านปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา พวกเราจะไม่สามารถจับมันกลับไปไว้ในที่ที่มันควรอยู่ได้อีก!”
พวกเขาเข้ามาในสุสานหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อมาถึงจุดนี้ หนีเปียวจึงไม่สามารถหันหลังกลับได้ ”พ่อเฒ่าจาง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราทุกคนล้วนแต่มีวิชาเต๋า พวกเราย่อมสามารถทำให้ทุกอย่างกลับไปอยู่ในที่ที่มันควรอยู่ได้แน่นอน” จากนั้นเขาจึงพาลูกศิษย์เดินหน้าต่อโดยไม่หยุดรอฟังคำตอบ ”พวกเจ้าไปผลักประตูออก อย่าลืมจับเชือกตรึงวิญญาณเอาไว้ด้วยล่ะ ถ้ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น ให้ลงมือทันที”
“ขอรับ” บรรดาศิษย์ของตระกูลหนีตอบอย่างรวดเร็ว
จูเก่ออวิ๋นอยากห้ามพวกเขา แต่เขารู้ว่าเขาคงไม่สามารถพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายได้ เพราะผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนต่างก็ต้องการเปิดประตูสุสานบานนั้นออกเพื่อเอาพระสรีระมาเป็นของตน…