องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 755 ฝันถึงพระชายา
ภาพวาดอสูรที่มีศีรษะเป็นมนุษย์ซึ่งถูกสลักเอาไว้บนประตูหินนั้นดูน่ากลัวอย่างมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน
ทันทีที่คนของตระกูลหนีตั้งใจว่าจะค่อยๆ เดินช้าๆ ไปที่ประตู เสียงลมหวีดหวิวฟังประหลาดหูก็พลันดังขึ้นอย่างไร้ที่มา
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนขึ้นว่า ”ทุกคน ดูนั่นสิ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาของตัวเองไปยังจุดที่ชายคนนั้นชี้อยู่ทันที
ท่ามกลางยามสนธยา ทางเข้าสุสานที่เดิมทีเคยว่างเปล่า บัดนี้กลับมีแม่น้ำสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แม่น้ำสายนั้นไหลขนาบข้างไปกับทั้งสองด้านของสุสานและลึกเข้าไปถึงเนินเขา น้ำใสสะอาดและยังมีพืชน้ำเติบโตอยู่ภายใน มันทำให้แม่น้ำสายนี้ดูไม่เป็นอันตราย
สิ่งเดียวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าแปลกประหลาดก็คือการที่ในแม่น้ำสายนั้นไม่มีปลาอยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือนอกจากพืชน้ำพวกนี้แล้ว มันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นปรากฏอยู่ในน้ำเลย ไม่มีแม้กระทั่งปลาสักตัว ยิ่งกว่านั้นหากมองไกลๆ แล้ว พืชน้ำที่เติบโตอยู่ภายในเงามืดและล่องลอยอยู่เหนือผิวน้ำพวกนี้ก็ยังดูเหมือนเส้นผมของผู้หญิงที่จมน้ำตายไม่มีผิด…
แต่ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขาทุกคนต่างจับตามองทางเข้าสุสานหลวงแห่งนี้อยู่ตลอด และเดิมทีนั้นที่นี่ก็ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมีแม่น้ำปรากฏขึ้นทันทีที่พวกเขาคิดจะเข้าไปในสุสานหลวงล่ะ
มันเป็นคำเตือนพวกเขาล่วงหน้าหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่ดวงตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่แม่น้ำสายนั้นอย่างระแวดระวังเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงในน้ำ
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ไม่เคยประสบพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน พวกเขามองหน้ากันและกันแล้วกระชับกระบี่ไม้ท้อในมือแน่น
หนีเปียวตื่นเต้นเมื่อเห็นแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีชีวิตชีวาว่า ”มีคำกล่าวว่าเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แม่น้ำหยินจะปรากฏขึ้นใกล้กับสุสานหลวง ในอดีตนั้นข้าไม่เคยมีโชคได้เห็นมัน แต่ตอนนี้ในที่สุดข้าก็ได้ประจักษ์กับมันด้วยตาตัวเองเสียที ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนักที่แม่น้ำสายนี้สามารถเชื่อมโลกของหยินและหยางเข้าหากันได้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างประหลาดใจทันทีที่ได้ยินคำว่าแม่น้ำหยิน เพราะในคู่มือศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายเคยมีบันทึกเรื่องของ ’แม่น้ำหยิน’ เอาไว้
เล่าลือกันว่าแม่น้ำสายนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ในเวลากลางวัน และจะปรากฏขึ้นต่อเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์เท่านั้น
ว่ากันว่าเราจะพบคำตอบของความเป็นนิรันดร์ได้ด้วยการข้ามแม่น้ำที่เชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งหยินหยาง เพราะการข้ามแม่น้ำนี้หมายถึงการเดินทางข้ามผ่านทั้งชีวิตและความตายนั่นเอง
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ดวงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นประกายในทันใดและยืนยันว่าจะลุยน้ำไปโดยไม่สนใจคำเตือนใดๆ
แต่คนที่มากับเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยืนนิ่ง และไม่ได้รีบร้อนที่จะเดินหน้าต่อ
ในเวลานั้น ชายชราก็มองไปที่ผิวน้ำของแม่น้ำสายนั้น แล้วเริ่มตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ”อย่าไปทางนั้น!”
”ทำไมหรือ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจำนวนหนึ่งหันกลับมาถาม
ชายชราชี้ไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำด้วยนิ้วอันสั่นเทา
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเพิ่งเห็นว่าที่นั่นมีโลงศพโลงหนึ่งตั้งอยู่
ในทางฮวยจุ้ยนั้น โลงศพที่วางอยู่กลางน้ำจะก่อให้เกิดลางร้ายได้ง่าย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าสิ่งนี้คือสิ่งที่ปรากฏขึ้นกลางแม่น้ำหยินอีกด้วย
โจรปล้นสุสานชราดูหวาดกลัวโลงศพนั้นอย่างมาก เขาพูดเสียงสั่นว่า ”ข้าเคยเห็นมันมาก่อน ตอนนั้นมันก็ปรากฏขึ้นเช่นนี้ พวกเราอย่าเปิดประตูสุสานหลวงเลย!”
”เจ้าไม่เคยมาที่สุสานหลวงมาก่อนมิใช่หรือ เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะเคยเห็นโลงศพที่อยู่ที่นี่” หนีหู่ไม่ได้นำคำพูดของเขามาใส่ใจมากนัก เพราะในความคิดของเขา เขาเพียงจ้างโจรปล้นสุสานชราคนนี้มาเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าเขาจะทำตัววุ่นวายและพยายามเข้ามาขัดขวางพวกเขาอยู่เรื่อยเช่นนี้ ทำไมเขาถึงไม่ถามคนอื่นให้ดีเสียก่อนเล่าว่าตระกูลหนีมีความสามารถเพียงใดก่อนที่จะพยายามโกหกเขา
โจรปล้นสุสานชรารู้ว่าหนีหู่ไม่เชื่อเขา ดังนั้นเขาจึงเริ่มเล่าประสบการณ์ในอดีตให้ทุกคนฟัง
เขาเคยเห็นโลงศพโลงนี้มาก่อนจริงๆ
สมัยนั้น หมู่บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาแห่งนี้
ในเวลานั้นมีขุนนางผู้มั่งคั่งคนหนึ่งมาที่หมู่บ้านของพวกเขาโดยมีจุดประสงค์เพื่อเข้าไปในสุสานหลวง
ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าพอที่จะไปกับเขา ดังนั้นขุนนางผู้มั่งคั่งคนนั้นจึงแวะเวียนมาที่เชิงเขาทุกวัน
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าคืนหนึ่ง มีโลงศพโลงหนึ่งลอยมาตามแม่น้ำอย่างไม่มีที่มา ตอนนั้นพวกเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะหน่วยสำรวจของขุนนางผู้มั่งคั่งคนนั้นไปรบกวนบางสิ่งในสุสานหลวงเข้า
ขุนนางผู้มั่งคั่งยืนกรานที่จะนำโลงศพนั้นขึ้นจากแม่น้ำโดยไม่สนใจว่าจะมีชาวบ้านพยายามคัดค้านเขา และยังปฏิเสธที่จะเชื่อฟังคำแนะนำของชายชรา
การนำโลงศพขึ้นจากแม่น้ำในตอนกลางวันอาจจะพอเลี่ยงความเสี่ยงได้บ้าง
แต่ทันทีที่โลงศพโลงนั้นถูกนำขึ้นมาจากแม่น้ำ ฝูงค้างคาวดูดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนก็กรูกันออกมาจากป่าในเวลาเดียวกัน
ค้างคาวพวกนั้นคล้ายกับพยายามเตือนไม่ให้พวกเขาทำอะไรมากไปกว่านี้!
คนที่มาจากสายงานเดียวกับเขาย่อมรู้ว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ ตอนเปิดโลงศพออกในครั้งนั้นเป็นลางร้าย!
แม้พวกเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับเรื่องอันตราย แต่ข้าราชการผู้มั่งคั่งจอมละโมบผู้นี้ก็ไม่คิดที่จะฟังใคร และกล่าวว่าถ้าพวกเขาสามารถยกโลงขึ้น และหาทางเข้าไปในสุสานได้ พวกเขาย่อมสามารถหาสมบัติแห่งความเป็นอมตะที่อยู่ในสุสานหลวงแห่งนี้ได้แน่นอน
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายังสั่งให้คนของตัวเองลงมือต่อทั้งๆ ที่รู้ว่าการเปิดโลงศพนี้มีความเสี่ยงเพียงใด!
เมื่อชายชราตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถห้ามพวกเขาได้ เขาจึงบอกกับขุนนางผู้มั่งคั่งคนนั้นว่าพวกเขาจะต้องใช้เชือกตรึงวิญญาณกับโลงศพโบราณโลงนี้ทันทีหลังจากเคลื่อนย้ายมันขึ้นมาจากแม่น้ำ!
เขาคิดว่าอย่างน้อยการทำเช่นนี้คงพอจะหลีกเลี่ยงอันตรายลงได้บ้าง
แต่พายุฝนกลับโหมกระหน่ำลงมาในป่าก่อนที่พวกเขาจะสามารถเคลื่อนย้ายโลงศพขึ้นมาจากแม่น้ำได้สำเร็จ!
เสียงร้องของนกเย่อิง[1] ที่ดังขึ้นทุกขณะจากในป่ายิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นอย่างมาก…
ขุนนางผู้มั่งคั่งไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดแผนการเอาไว้ เพราะการยกโลงศพน้ำหนักหลายร้อยจินขึ้นจากแม่น้ำในสภาพอากาศอันเลวร้ายเช่นนี้ย่อมเป็นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้
ตอนแรกชายชราแอบรู้สึกโล่งใจ
แต่เขากลับคาดไม่ถึงว่าในวันต่อมา คนทุกคนที่มีส่วนในการยกโลงศพโบราณโลงนั้นขึ้นจากแม่น้ำจะค่อยๆ ตายไปทีละคน
บางคนโชคร้ายตายตั้งแต่คืนนั้น ส่วนคนที่โชคดีก็มีชีวิตอยู่จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นในวันถัดมา
แต่การตายของขุนนางผู้มั่งคั่งคนนั้นกลับน่าประหลาดยิ่งกว่าสิ่งใด ตอนแรกเขารู้สึกหิวเป็นอย่างยิ่ง และตั้งหน้าตั้งตากินอาหารไม่หยุด แต่ไม่ว่าเขาจะกินอะไรเข้าไปมันก็ไม่มีรสชาติเอาเสียเลย หลังจากนั้นเขาจึงไม่ได้กินอะไรต่อ และบอกกับคนของตัวเองว่าเขาง่วงและต้องการนอนพัก
วันรุ่งขึ้น แม้ภรรยาของเขาจะเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูเสียที ดังนั้นนางจึงสั่งให้ข้ารับใช้พังหน้าต่างบุกเข้าไปในห้อง ตอนนั้นเองที่พวกเขาพบว่าขุนนางผู้มั่งคั่งคนนั้นสิ้นใจตายเสียแล้ว เขานอนเหยียดอยู่กับพื้นพร้อมกับก้มหน้าในท่าทางประหลาด บนร่างของเขาไร้รอยบาดแผล มีเพียงสีหน้าของเขาเท่านั้นที่บิดเบี้ยวอย่างยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ สีหน้านั้นเหมือนคนที่ได้เห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเข้าอย่างไรอย่างนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเห็นอะไร แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่สบายใจก็คือการที่ร่างทั้งร่างของเขาเปียกโชกราวกับถูกแช่อยู่ในแม่น้ำ
แต่ความจริงก็คือภรรยาของขุนนางผู้มั่งคั่งกลับบอกว่าเขาไม่ได้ออกจากห้องเลยตลอดทั้งคืน
แล้วน้ำบนร่างของเขามาจากที่ใดกัน
ไม่มีใครกล้าพอที่จะตั้งข้อสันนิษฐานกับเรื่องนี้ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้โลงศพโลงนั้นอีกแม้แต่คนเดียว
แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถป้องกันหายนะที่ตามมาได้
ชาวบ้านเริ่มเจ็บป่วยโดยไม่มีสาเหตุ เด็กๆ เริ่มสะอื้นไห้ไม่หยุดในตอนกลางคืน
ยิ่งกว่านั้น คนที่ได้เห็นการเปิดโลงศพโลงนั้นก็มักจะฝันร้ายอยู่เสมอแม้ว่าพวกเขาจะย้ายออกจากหมู่บ้านไปแล้วก็ตาม
ในเวลานั้น ชายชราคิดว่าเขาเองก็คงต้องตายเหมือนกัน จนกระทั่งเขาฝันว่า…
ผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในความฝันของเขา นางมีกิริยาท่าทางสูงส่งและสง่างาม ร่างของนางส่องประกายราวกับโอบล้อมไปด้วยแสงแห่งพระธรรม กลิ่นไม้จันทน์อ่อนๆ ลอยออกมาจากร่างของนาง แม้จะไม่ชัดเจนนักแต่นางก็ดูเหมือนพระชายาทีเดียว ภาพนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจเมื่อได้เห็น…
[1] นกไนติงเกล