องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 768 เหตุผลอันน่าทึ่งของเฮ่อเหลียนเวยเวย (ตอนที่ 2)
- Home
- องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!
- บทที่ 768 เหตุผลอันน่าทึ่งของเฮ่อเหลียนเวยเวย (ตอนที่ 2)
หนีหู่มั่นใจว่าพวกเขาเพียงพูดเกทับไปอย่างนั้นเอง
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ้มขึ้น นางเดินอย่างมั่นใจเข้าไปหาเขาด้วยดวงตาเย็นชา ”พูดตามตรงว่าข้าเกลียดการอธิบายเรื่องต่างๆ ให้คนไร้สติปัญญาฟัง แต่ในเมื่อนายน้อยหนีถามดีๆ เช่นนั้นข้าก็จะอธิบายให้ฟัง การปิดตาทำให้เราออกจากการเดินหลงเป็นวงกลมได้อย่างไรน่ะหรือ อันที่จริงเหตุผลของมันก็ง่ายนิดเดียว ในฐานะผู้ขับไล่วิญญาณร้าย เจ้าก็คงรู้ว่าวิญญาณเป็นสสารพลังหยิน และพวกมันมักจะวางแผนทำร้ายมนุษย์อยู่เสมอ วิญญาณบางตนสร้างฝันร้าย ส่วนบางตนก็สร้างภาพลวงตา การเดินหลงเป็นวงกลมคือตัวอย่างของภาพลวงตาที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้เราหลงทิศ แต่ตราบใดที่เราหลับตา ภาพลวงตานี้ย่อมไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ วิญญาณเป็นสิ่งที่มีสติปัญญาเช่นกัน ไม่เหมือนกับนายน้อยหนีที่ใช้สมองคิดแก้ปัญหาไม่เป็น”
“เจ้า เจ้า!” หนีหู่ตัวสั่นด้วยความเดือดดาล ไม่ว่าจะมองอย่างไร คนคนนี้ก็กำลังบอกว่าเขาโง่อยู่ชัดๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงส่งยิ้มให้เขา แต่คิ้วของนางกลับขมวดเข้าหากัน ”ข้าอธิบายเป็นคำพูดชัดเจนแล้ว อย่าบอกนะว่านายน้อยหนียังไม่เข้าใจ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนจึงเข้าใจสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการสื่อ พวกเขาจึงหัวเราะเยาะใส่หนีหู่
ใบหน้าของหนีหู่ซีดเผือดก่อนจะแดงก่ำด้วยความอับอายเมื่อต้องตกเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คน แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาคำพูดดีๆ ที่จะตอบโต้นางได้
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ ผู้เฒ่าหลี่ก็เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า ”ยอดเยี่ยม!”
ทุกคนหันหน้าไปทางเขา
ผู้เฒ่าหลี่หัวเราะ ”คนแก่เช่นข้าประมาทเกินไป พวกเรามีกฎอยู่ข้อหนึ่งเวลาบุกค้นสุสาน กฎที่ว่านั่นก็คือถ้าพวกเราเข้าไปในสุสานแล้วหาทางออกไม่เจอ ให้พวกเราหลับตาเดินออกมา เวลาเปิดโลงศพให้เปิดโดยหันหน้าไปทางอื่น จนถึงวันนี้ข้ายังไม่เข้าใจกฎพวกนี้ดีเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ยินที่คุณชายเว่ยพูดแล้ว เวลานี้ทุกอย่างถึงได้ดูสมเหตุสมผลขึ้นมาเสียที! ข้าต้องยอมรับว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องการขับไล่วิญญาณร้าย และอาคมที่พวกเขาใช้ แต่ทฤษฎีของคุณชายเว่ยนั้นต่อให้เป็นคนธรรมดาก็สามารถใช้ได้เมื่อตกอยู่ในอันตราย นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก”
จูเก่ออวิ๋นไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เว่ยถึงไม่พูดถึงเรื่องคลื่นสมองอะไรนั่นขึ้นมา แต่ก็อย่างว่า หากเทียบกับสิ่งที่พี่เว่ยอธิบายเอาไว้ก่อนหน้านี้ คำอธิบายนี้นับว่าเข้าใจง่ายกว่ามาก
หลังจากได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พวกเขาขับไล่วิญญาณร้ายมาหลายปี แต่พวกเขากลับเอาแต่พึ่งพาอาคม ไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งมาก่อน
ตอนนี้เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยจุดประกายความสนใจให้กับพวกเขา ดวงตาของพวกเขาจึงเป็นประกายด้วยแรงบันดาลใจ
พวกเขาประทับใจอย่างสุดซึ้งกับสิ่งที่นางแสดงให้เห็น จนไม่สามารถปิดบังหรือซ่อนความชื่นชมที่มีได้
“น้องเว่ย ข้าไม่เคยประทับใจใครเช่นนี้มาก่อนเลย เจ้า สหายข้า เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าประทับใจได้เช่นนี้!”
“ข้าด้วย เจ้าช่างอัจฉริยะจริงๆ! พี่เว่ย เจ้าคิดวิธีการเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร สมองของเจ้ามหัศจรรย์ยิ่งนัก”
“นายน้อยอวิ๋นก็เหมือนกัน แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็เป็นผู้ใหญ่นัก!”
ความคิดเห็นเหล่านี้ล้วนแต่ลอยเข้ามาในหูของหนีหู่ ตอนแรกเสียงชื่นชมพวกนี้ควรที่จะเป็นของตระกูลหนีแท้ๆ คนอื่นคู่ควรที่จะได้รับมันตั้งแต่เมื่อใด หนีหู่ยิ่งโมโหเมื่อรู้ว่า ’คนอื่น’ ที่ว่านี้มีจูเก่ออวิ๋นรวมอยู่ด้วย!
หนีเปียวก็ไม่พอใจอย่างมาก เขานึกไม่ถึงเลยว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะสามารถหนีออกมาได้โดยไม่ใช้ยันต์แม้แต่แผ่นเดียว
ดูท่าว่าเขาจะใจดีกับเจ้าพวกนี้เกินไปเสียแล้ว
เขาควรรอให้ทุกคนไม่อยู่ แล้วหาสถานที่สักแห่งฝังพวกมันทั้งเป็น
หนีหู่อยู่ใกล้กับหนีเปียวที่สุด ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นบิดา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นมากนัก เขาเพียงต้องการให้ทุกคนเลิกชมคนพวกนั้นเสียที ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่หนีเฟิ่ง จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนประเด็นโดยไม่เสียเวลาคิด เขาแสร้งถามอย่างสุภาพว่า ”พี่น้องทุกท่าน พวกท่านช่วยลดเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ พี่สาวของข้ายังคิดหาทางออกเรื่องศพที่แขวนอยู่บนหลังคานั่นอยู่ นางคิดออกเมื่อใดพวกเราจะได้ไปถึงชั้นหนึ่งได้อย่างปลอดภัย เสียงดังย่อมรบกวนความคิดของนางได้”
“ไม่เป็นไร ข้า แค่กๆ ข้าสบายดี” หนีเฟิ่งพูดพร้อมกับไอไปด้วย นางดูต้องใช้ความพยายามมากที่จะพูดต่อ คิ้วของนางขมวดเข้าหากันระหว่างเสริมว่า ”แต่ข้าต้องการที่สงบๆ เพื่อคิดหาทางออกดู”
ทุกคนเงียบเสียงลงทันที
ตั้งแต่เสี่ยวหลิงออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาก็เริ่มสงสัยตระกูลหนีเป็นอย่างมาก เขาหันกลับไปถามว่า ”มีเรื่องอะไรหรือ ทำไมต้องขอคิดเงียบๆ ด้วย”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงดึงเขาออกไปด้านหนึ่งพร้อมกับชี้ศพที่แขวนอยู่บนหลังคาให้เขาดู
สีสันบนใบหน้าของเสี่ยวหลิงถูกดูดหายไปอย่างรวดเร็ว ”เกิด เกิดอะไรขึ้นที่นี่ พวกกัวจื่อ พวก พวกเขา…”
พวกเขาหวาดกลัวในสิ่งเดียวกัน ทุกคนทำได้เพียงแค่เดาอยู่ในใจเท่านั้น
สุสานตกอยู่ในความเงียบงัน
ไม่มีใครสังเกตเห็นแสงสีขาวที่ส่องผ่านร่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังสังเกตอยู่ ดวงตาของนางหลุบลงราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“พี่เว่ย!” จูเก่ออวิ๋นไม่ได้ถามอะไรนาง แต่กลับพูดอย่างตื่นเต้นว่า ”ท่านมีทางออกแล้วใช่ไหมขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้เขาเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น
“ขนาดพี่หญิงของข้ายังคิดไม่ออกเลย พี่อวิ๋น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าคนอื่นจะคิดออก” หนีหู่เอ่ยถามอย่างเย็นชา
เดิมทีเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไร สิ่งเดียวที่นางต้องการคือการเดินเข้าไปเอาเพชรพลอยพวกนั้นกลับมา เพราะนอกเหนือจากองค์ชายแล้ว สิ่งที่นางรักที่สุดก็คือเงิน
เวลานี้ไม่ว่าหนีหู่หรือหนีเฟิ่งก็ไม่สำคัญสำหรับนางทั้งนั้น
แต่น่าเสียดายที่มักจะมีคนเข้ามาขวางทางนางกับเงินทองของนางอยู่เสมอ
เรื่องนี้เริ่มทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยชักจะหงุดหงิดขึ้นมา นางมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า ”มันก็เหมือนกับตอนเลือกประตู คุณหนูหนี ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านจะยังคิดไม่ออก หืม น่าสงสัยจริงๆ”
หนีเฟิ่งไม่ได้ตอบ แต่ทำเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่มือของนางที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวกลับสั่นน้อยๆ
หนีหู่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง เขาจึงเยาะว่า ”เจ้าหมายความว่าอย่างไร พี่เว่ย เจ้าต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ ตอนนั้นคนที่เลือกทางเส้นนี้ก็คือพี่สาวของข้า ไม่ใช่เจ้า อย่าได้พูดเหมือนตัวเองรู้ดีไปเสียทุกอย่างเลย”
“จริงสิ ไหนๆ นายน้อยหนีก็พูดขึ้นมาแล้ว เดิมทีนั้นใครกันแน่นะที่เป็นคนเลือกเส้นทางนี้มา” เฮ่อเหลียนเวยเวยม้วนเชือกสีแดงชุบเลือดสุนัขในมือของนาง
“พวกเรามาวิเคราะห์ทุกอย่างด้วยกันดีกว่า นายน้อยหนี เจ้าคิดว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรือ เช่นนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดี”
หนีหู่ไม่สนใจนางเพราะเขาไม่รู้ความจริงที่ว่าหนีเฟิ่งขโมยความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยมา เขาหัวเราะอย่างเย็นชา และเอ่ยว่า ”พี่เว่ย เจ้าเป็นคนมีคารมดีทีเดียว เรื่องนี้ข้าต้องขอยอมรับ แต่ถ้าเจ้าคิดว่าจะสามารถใช้ลิ้นของตัวเองขโมยความดีความชอบจากผลงานของคนอื่นได้ละก็ เช่นนั้นตระกูลหนีของข้าย่อมไม่มีวันยอมอยู่เฉยแน่!”
คราวนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเป็นฝ่ายเมินคำพูดของเขาบ้าง แต่นางกลับยกนิ้วเรียวยาวของตัวเองขึ้น แล้วแตะมันเข้ากับศพทั้งสองที่อยู่เหนือร่างนาง จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า ”ข้าเดาว่าทุกคนก็คงคิดเหมือนอย่างที่ข้าคิด ทันทีที่พวกเราเห็นสิ่งนี้ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคงจะเป็น ’คนที่ตายไปแล้วสองคนนี้มาถึงที่นี่เร็วกว่าพวกเราได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเราในสภาพน่าสยดสยองอีกด้วย’ ใช่หรือเปล่า”