องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 769 หนีเฟิ่งผู้ไร้ยางอายก่อนถูกตบหน้า
“มีอะไรผิดปกติหรือ มันก็แค่ผีดิบ” หนีหู่ตอบอย่างไม่สนใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”ผีดิบหรือ นายน้อยหนี เจ้าเคยเห็นผีดิบตัวเป็นๆ ที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าคนที่มีชีวิตหรือ ข้าเชื่อว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ก็คงเห็นด้วยกับข้า”
คนอื่นรู้เรื่องนั้นดี ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยิ่งไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ส่วนหนีหู่นั้น ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทำเพียงเหลือบมองเขา เวลาที่เขาต้องอับอายขายหน้าใกล้จะมาถึงแล้ว
หนีหู่รู้ว่าเขาทำตัวเองขายหน้า เขาเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า ”แล้ว… แล้วอย่างไร อย่าลืมสิว่าร่างสองร่างนั้นหายไปก่อนที่พวกเราจะไปจากที่นั่นเสียอีก”
“นายน้อยหนีจดจำเรื่องพวกนี้ได้ดีจริงๆ แต่ข้าคงต้องขอถามว่า พวกเขาต้องเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเพียงใดถึงจะสามารถจับตัวเองแขวนไว้บนหลังคาได้ อีกทั้งยังอยู่ในลักษณะท่าทางเช่นนั้นอีก” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองกลับ และตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
หนีหู่สำลักคำพูดตัวเอง แม้กระทั่งคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็ยังเริ่มหมดความอดทนกับเขา
“นายน้อยหนี ในเมื่อท่านไม่รู้อะไร เช่นนั้นก็อย่ารบกวนตอนพี่เว่ยกำลังพูดได้หรือไม่” คำพูดของเสี่ยวหลิงดูเหมือนจะสร้างกระแสความไม่พอใจในตัวหนีหู่ขึ้นในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ทุกคนรู้สึกหงุดหงิดกับความประพฤติของหนีหู่ ดวงตาของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความดูถูกเมื่อมองเขา
หนีหู่ไม่มีทางเลือก ต่อให้เขาจะไม่พอใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ปิดปากเงียบ แล้วหันหน้าไปอีกด้านอย่างรวดเร็วเท่านั้น
ความอัปยศนี้ ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องเอาคืนให้จงได้!
ขณะที่หนีหู่กำลังเดือดดาลอยู่นั้น หนีเฟิ่งกลับยังวางตัวได้อย่างชาญฉลาด เมื่อนางได้ยินสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด นางก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้ นางจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วส่งเสียงไอขึ้นเบาๆ ”สิ่งที่ท่านพูดมานั้น อันที่จริงก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดออกแล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงมันออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จูเก่ออวิ๋นก็โมโหจนตาแทบถลน ท่าทางเยือกเย็นของเขาหายวับไปทันที!
คนคนนี้ไร้ยางอายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!
การขโมยความคิดของพี่เว่ยหลังจากแอบฟังที่พวกเขาคุยกันในรอบแรกก็ว่าแย่พออยู่แล้ว แต่ตอนนี้นางยังคิดที่จะทำผิดซ้ำสองอีกหรือ
อันที่จริง คราวนี้นางทำตัวหน้าไม่อายกว่าเดิมเสียอีก คำพูดที่นางประกาศออกมาเมื่อครู่นี้ไม่ต่างจากการบอกเป็นนัยๆ ว่าความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นของนาง
“คนอย่างท่านไม่คู่ควรกับการเป็นพระชายา!” จูเก่ออวิ๋นเอ่ยขึ้นเพราะทนไม่ไหวอีกต่อไป ใบหน้าหล่อเหลาและเยาว์วัยของจูเก่ออวิ๋นแดงก่ำ ”ท่านรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป ถ้าท่านไม่ได้แอบฟังที่ข้าคุยกับพี่เว่ย ท่านก็คงไม่รู้ว่าประตูบานไหนนำไปสู่สุสาน ก่อนหน้าที่พี่เว่ยจะพูดขึ้น ทำไมท่านถึงบอกว่าต้องการความสงบเพื่อคิดหาทางออกหรือ พอพี่เว่ยพูดขึ้น ท่านก็รีบอ้างว่าท่านคิดเช่นนั้นได้ก่อน คุณหนูหนี วิธีการรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่ท่านมีช่างน่าขันเสียนี่กระไร!”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทั้งสุสานก็พลันจมลงสู่ความเงียบชั่วขณะ
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าลับหลังนั้นจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในระหว่างการเลือกประตู เสียงพูดคุยดังขึ้นในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายราวกับระลอกคลื่น
“ถ้าสิ่งที่จูเก่ออวิ๋นพูดเป็นความจริง เช่นนั้นจะไม่ได้หมายความว่าคุณหนูหนีขโมยความคิดของคนอื่นมาโดยตลอดหรือ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก จะต้องมีการเข้าใจอะไรกันผิดแน่ๆ คุณหนูหนีไม่มีทางทำเรื่องเสียหายเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
“ข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูหนี ป่านนี้พวกเราคงถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในสุสานนี้ไปแล้ว สุขภาพของคุณหนูหนีไม่ค่อยดีมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่ใช่เพราะนางต้องการปกป้องเราจากอันตราย นางก็คงไม่จำเป็นต้องรีบถึงเพียงนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดที่อยู่โดยรอบ หนีเปียวก็ตระหนักได้ว่ายังมีคนมากมายที่สนับสนุนและยืนอยู่ข้างเดียวกันกับตระกูลหนี ดังนั้นเขาจึงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ทันที
เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า ”บุตรสาวคนโตของข้าเองก็อาจจะผิดเช่นกัน เพราะนางเป็นคนมีจิตใจดีงาม นางใจดีมากเกินไปด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นางต้องการคือการพาทุกคนไปให้ถึงใจกลางสุสานให้ได้โดยเร็วที่สุด นางจึงไม่ทันได้คิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำของตัวเอง ข้าต้องขอโทษด้วยที่มันอาจจะทำให้เจ้าเข้าใจนางผิด เจ้าหนู”
เขาหันหน้าไปทางจูเก่ออวิ๋น ”หลานชาย ตลอดเวลาหลายปีมานี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเคียดแค้นข้าเช่นเดียวกันกับที่เคียดแค้นตระกูลหนี แต่อย่างไรตระกูลของพวกเราก็เคยมีอำนาจเท่าเทียมกัน แต่ตั้งแต่น้องจูเก่อจากไป ตระกูลจูเก่อก็เริ่มตกต่ำลงทุกวันในขณะที่ตระกูลหนีกลับมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าก็ยังหวังดีต่อตระกูลจูเก่อเสมอ เจ้าหนู การเป็นคนหัวแข็งนั้นนับว่าเป็นเรื่องดี แต่การเหยียบย่ำชื่อเสียงของคนอื่นเพื่อยกระดับตัวเองนั้นไม่ใช่ ข้าคงไม่สามารถทนต่อเรื่องนี้ได้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เห็นกับตาตัวเองว่าเฟิ่งเอ๋อร์ทำงานหนักมากเพียงใด เจ้ามีหลักฐานอะไรมาสนับสนุนคำพูดที่เจ้าพูดกับเฟิ่งเอ๋อร์ของข้าหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจึงเริ่มตั้งคำถาม ”ใช่แล้ว นายน้อยอวิ๋นมีหลักฐานอะไรหรือจึงได้พูดถึงคุณหนูเฟิ่งเช่นนั้น”
จูเก่ออวิ๋นเป็นคนหนุ่มที่คล่องแคล่ว ทั้งยังเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์อีกด้วย เมื่อเขาไม่สามารถแสดงหลักฐานใดๆ ตามที่พวกเขาต้องการได้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดจนแทบตีอกชกหัวตัวเองเลยทีเดียว!
หนีเฟิ่งสังเกตเขามาตั้งแต่แรกราวกับรู้ว่าเขาคงไม่สามารถแสดงหลักฐานมาโต้แย้งนางได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจกับเขานัก
อาศัยแค่ชื่อเสียงของตระกูลกับฐานะพระชายาที่นางมี นางย่อมสามารถทำทุกอย่างได้อย่างไร้ยางอายเพราะไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับนางแม้แต่คนเดียว นี่เหมือนรังแกกันชัดๆ!
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ”ในเมื่อลุงหนีว่าเช่นนั้น เช่นนั้นพี่หนีจะกรุณาช่วยอธิบายในสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ และเหตุใดก่อนหน้านี้ท่านถึงไม่พูดอะไรออกมา แต่ทำไมหลังจากที่พี่เว่ยเริ่มพูดขึ้น ท่านเองก็สามารถอธิบายมันออกมาได้เหมือนกัน!”
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งสีหน้าของนางก็ยังไม่ได้ทรยศความคิดของนางแม้แต่น้อย แต่พอจูเก่ออวิ๋นพูดจบ นางก็ถอนหายใจออกมา
ช่างเป็นเด็กที่โง่เขลาเหลือเกิน
เขากระโดดลงไปในกับดักที่อีกฝ่ายวางไว้อย่างชัดเจนด้วยตัวเอง
แต่เขาก็ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของนาง เขาทำเพื่อนาง...
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไรมาก นางเพียงใช้นิ้วเคาะใบหน้าด้านข้างตัวเองเองเบาๆ ขณะใช้ความคิดอย่างใจเย็น
จูเก่ออวิ๋นคิดว่าคนหลอกลวงอย่างหนีเฟิ่งย่อมไม่มีทางรู้ในสิ่งที่พี่เว่ยจะพูด
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดเพราะหนีเฟิ่งสามารถโต้กลับคำพูดของเขาได้จริงๆ นางไอออกมาเล็กน้อยราวกับพยายามปิดบังความเสียใจจากการถูกใส่ร้าย พร้อมกับตอบเบาๆ ว่า ”ไม่น่าแปลกใจเลยที่น้องอวิ๋นจะเข้าใจข้าผิด เดิมทีข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เพราะมันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเราได้ แต่ตอนนี้เมื่อเรามาถึงจุดนี้แล้ว ก็อย่างที่คุณชายเว่ยพูดไว้ก่อนหน้านี้ แม้พลังปราณหยินจะทำปฏิกิริยากับศพ แต่พวกเขาก็เคลื่อนไหวได้ช้าเป็นอย่างยิ่ง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเอาชนะฝีเท้าของพวกเราได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปรากฏตัวขึ้นบนหลังคาเช่นนี้เลย พวกเขาไม่ได้เป็นผีดิบ แต่มีใครบางคนพาพวกเขามาที่นี่ต่างหาก!”
ทันทีที่หนีเฟิ่งพูดจบ ดวงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ!
แม้กระทั่งจูเก่ออวิ๋นก็ยังตัวแข็งทื่อ เขาเผลอหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่รู้ตัวเพื่อดูว่านางมีอะไรจะคัดค้านหรือไม่
หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะทันที
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่า เดิมทีนั้นหนีเฟิ่งไม่รู้อะไรเลยเลยแม้แต่นิดเดียว แต่หลังจากได้ยินคำพูดของพี่เว่ย นางก็สามารถตามทันได้อย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนฉลาด เขาต้องขอยอมรับในเรื่องนั้น
ไม่ใช่แค่ฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นฉลาดแกมโกงอีกด้วย
นางปล่อยให้เขาสร้างความวุ่นวายขึ้นเพียงเพื่อจะทำให้เขาและพี่เว่ยต้องอับอาย…