องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 77 องค์ชายปลอมตัวอีกครั้ง
นอกสำนักไท่ไป๋ หลังจากซูเจียเฉิงทราบถึงเรื่องราวความอัปยศที่เกิดขึ้นกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ เขาและเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็รีบไปหานางทันที
“ท่านตา ท่านพ่อ ข้าทนนังคนไร้ค่านั่นไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สุดแสนจะหมดความอดทน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของนางจ้องเขม็งไปที่มุมผ้าเช็ดหน้าของตัวเอง “ข้าอยากให้ชื่อของนางหายไปจากตระกูลเฮ่อเหลียนเจ้าค่ะ”
เมื่อซูเจียเฉิงได้ยินคำพูดของหลานสาว เขาก็เอ่ยว่า “เดิมทีข้าคิดว่านังคนไร้ค่าคนนี้คงไม่สามารถรับมือกับปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นได้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าความสัมพันธ์ที่ข้าอุตส่าห์สร้างมาตลอดหลายปีจะถูกนางทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี! ในเมื่อนางไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ เช่นนั้นก็ต้องปล่อยให้นางได้ลิ้มรสชาติของความทรมานเสียบ้าง กวงเย่า เจ้าไปจัดการเรื่องนี้ซะ ข้าว่าคนที่เหลือในตระกูลเฮ่อเหลียนเองก็คงไม่อยากให้นังคนไร้ค่าอยู่ถ่วงความเจริญของพวกเขาเหมือนกัน”
เฮ่อเหลียนกวงเย่าพยักหน้า แต่คนมากเล่ห์เช่นเขาย่อมสังเกตเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลบางประการได้ “นังเด็กสารเลวนั่นกับองค์ชายสามต่างก็ไม่มีพลังปราณกันทั้งคู่ แล้วทั้งสองคนหนีออกมาจากพื้นที่อันตรายในป่าวิญญาณจนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร หรือว่านังเด็กสารเลวนั่นปิดบังอะไรจากพวกเราเอาไว้”
“นางจะไปมีเรื่องปิดบังอะไรได้เจ้าคะ!” เฮ่อเหลียนเหมยกุมศีรษะที่ถูกกระแทกจนแตกของตน และแผดเสียงขึ้นด้วยความรังเกียจ “นางก็แค่ดวงดีที่ได้ช่วยชีวิตองค์ชายของเผ่าไป๋เจ๋อเอาไว้ เขาก็เลยนำทางให้ แล้วก็พาพวกนางออกมาจากป่าต่างหาก ไม่อย่างนั้น คนที่มีวรยุทธ์เยี่ยงแมวสามขา[1] อย่างนางก็คงตายอยู่ในป่าวิญญาณไปนานแล้วเจ้าค่ะ”
“เหมยเอ๋อร์ เห็นแก่หน้าข้า หัดระวังน้ำเสียงกับฐานะของตัวเองเสียบ้าง!” เฮ่อเหลียนกวงเย่าโมโหนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะลูกสาวคนนี้ วันนี้เขาถึงต้องเสียหน้าอย่างมาก ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงรู้แล้วว่าเขา เฮ่อเหลียนกวงเย่า เลี้ยงลูกออกมาเป็นคนหยาบคายต่ำช้า “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่รู้จักปรับปรุงตัวเลยแม้แต่น้อย ที่สำนักวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเจ้าทำให้ตัวเองต้องอับอายอยู่คนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้ากลับลากเอาพี่รองของเจ้าเข้ามาเกี่ยวด้วย ถ้าสมองของเจ้าไม่อาจฉลาดไปมากกว่านี้ได้แล้ว เช่นนั้นพ่อก็จะเขียนจดหมายให้เจ้าลาออกจากสำนัก แล้วไปแต่งงานเสีย!”
ในเวลานั้น เฮ่อเหลียนเหมยรู้สึกไม่พอใจที่ถูกตำหนิ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้งแม้แต่คำเดียว ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าเด็กสาวที่ลาออกจากสำนักกลางคันย่อมไม่เป็นที่ต้องการของผู้ใด มีแต่ต้องแต่งงานกับตาแก่อายุรุนราวคราวปู่เท่านั้น แล้วคนหยิ่งผยองเช่นนางจะยอมรับเรื่องนั้นได้อย่างไร!
เพียงแค่คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนั้นขึ้นมา นางก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ป่านนี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็คงช่วยพูดให้นางรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างราบรื่นแล้ว แต่ตอนนี้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับทำเพียงนั่งอยู่ข้างๆ นางจิบชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาของนางบอกชัดว่าเบื่อหน่ายกับความโง่เขลาของเฮ่อเหลียนเหมยเต็มทน
เฮ่อเหลียนเหมยยังไม่รู้ตัว นางมัวแต่สนใจอยู่กับการทำให้ความโกรธของเฮ่อเหลียนกวงเย่าสงบลง
ไม่มีใครตระหนักถึงเป้าหมายสูงสุดที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการจากสิ่งที่นางทำลงไปวันนี้ได้เลย แต่แผนการในขั้นแรกของนางได้สำเร็จลุล่วงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถ้าต้องการจะทำลายองค์กรสักแห่ง สิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำคือการสร้างความขัดแย้งขึ้นภายในให้ได้เสียก่อน
แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ภายในรถม้า แต่นางก็รู้ว่าคงไม่มีใครยอมปล่อยให้คนที่ ‘เป็นอันตราย’ และรู้จุดอ่อนทุกอย่างของตัวเองเอาไว้ข้างกายแน่
ตอนที่เฮ่อเหลียนเหมยกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อยู่ด้วยกันที่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ พวกนางไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ในเวลานี้ พวกนางทั้งสองคนอยู่ที่สำนักไท่ไป๋
ความขัดแย้งทั้งหมดของพวกนางย่อมต้องถูกเปิดเผยออกมาทีละเรื่องอย่างแน่นอน เพราะคนหนึ่งได้อยู่ที่หอชั้นเลิศ อีกทั้งยังได้รับความรักอย่างท่วมท้น
ถึงแม้ว่าอีกคนจะได้รับการปฏิบัติที่ไม่เลวร้ายแต่อย่างใด แต่การปฏิบัติที่นางได้รับนั้นก็ยังไม่ดีเท่ากับคนแรก
เฮ่อเหลียนเหมยไม่ใช่แม่พระ คงแปลกน่าดูถ้านางไม่นึกอิจฉาเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์บ้าง
ส่วนเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายนั้นเลย แต่เมื่อถึงวันที่นางได้เผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง นางก็จะตระหนักได้เองว่าการมีน้องสาวที่รู้ไส้รู้พุงนางเป็นอย่างดีนั้น บางทีก็ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด
“ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ คนพวกนั้นก็จะกัดกันเอง โดยที่ข้าไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเองเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยผิวปากอย่างสบายใจนางกลับไปที่ห้องพักของตนที่อยู่ในหอสามัญอย่างอารมณ์ดี
สองวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ไม่ง่ายเลยกว่านางจะได้กลับมาที่ห้องของตัวเอง ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงรู้สึกอ่อนล้าเช่นกัน นางสะบัดรองเท้า กับเสื้อคลุมตัวนอกออก ก่อนแนบท่อนบนของตนลงกับโต๊ะอย่างเกียจคร้าน ในขณะเดียวกันก็หยิบแกนกลางมังกรที่นางได้รับมาจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเก่อนหน้านี้ขึ้นมา แล้วจัดการกลืนมันลงคอ นางอยากลองปลุกหยวนหมิงดู แต่แล้วก็พบว่าภายในสภาวะจิตของอีกฝ่ายมีสัญญาณของความตื่นเต้นปรากฏขึ้น
สัญญาณนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ว่าการหลับลึกของหยวนหมิงอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่ประการใด
ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขานอนต่อก็แล้วกัน
ใครจะรู้ บางทีตอนที่เขาตื่นขึ้นมา อาจจะมีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้นก็ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรวบรวมพลังปราณจากฝ่ามือทั้งสองข้างของตน ทันใดนั้นพลังงานทั้งหมดที่อยู่ภายในแกนกลางมังกรก็ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างของนาง อากาศที่อยู่รอบกายพลันเกิดการเคลื่อนไหว แม้แต่ม้วนกระดาษโบราณที่อยู่บนโต๊ะก็หมุนไปรอบๆ พร้อมกับส่งเสียงอยู่ครู่หนึ่ง
เจ้าแมวขาวที่นอนอาบแดดอยู่อีกด้านหนึ่งลุกขึ้นยืน ในดวงตาของเขาปรากฏความประหลาดใจ
เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่านางไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาไม่คิดเลยว่านางจะเป็นผู้ฝึกปราณที่สามารถควบคุมธรรมชาติได้
นี่ไม่ใช่แค่ในจักรวรรดิจ้านหลง แต่ต่อให้รวมพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลเข้าไปด้วย ก็ไม่มีผู้ฝึกปราณที่สามารถควบคุมธรรมชาติให้เห็นอีกเป็นคนที่สอง
ผู้ฝึกปราณประเภทนี้ถ้าไม่เป็นพวกไร้ค่าที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ก็เป็นพวกอัจฉริยะชนิดฟ้าสั่นดินสะเทือนที่สามารถควบคุมพลังปราณได้ทุกรูปแบบ!
เห็นได้ชัดว่าเจ้านายของเขาเป็นคนประเภทหลัง!
ก่อนหน้านี้คนในเผ่าถึงกับตั้งคำถามกับเขาด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงเลือกคนที่ทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าเป็นขยะมาเป็นเจ้านายของตน
เพื่อช่วยรักษาความลับของนางเอาไว้ เขาจึงไม่สามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงกับคนพวกนั้นได้ จึงตอบได้เพียงแค่ว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักแล้ว เขาจะกลับไปที่เผ่าเอง
แต่คนที่สำนักไท่ไป๋กลับยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านางมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเองแล้ว!
ยิ่งกว่านั้น เขาก็เพิ่งได้ยินคนจากหอชั้นเลิศพูดว่า “ในการประลองยุทธ์ที่จะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ เห็นทีนังคนจากตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้นจะต้องพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถเป็นแน่ อย่าฝันเลยว่านางจะมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นชายาอย่างใครเขา องค์ชายสามย่อมชอบหญิงที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน แต่นางถึงกับเคยถูกถอนหมั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง นางไม่มีโอกาสมาตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอดีตฮ่องเต้ที่คงไม่มีทางยอมให้นังคนไร้ค่าเช่นนั้นได้เข้าไปอยู่ในราชวงศ์แน่”
หึ…
ไม่รู้ว่าถ้าบรรดาเด็กสาวที่นินทานางลับหลังมาเห็นภาพนี้เข้า พวกนางจะคิดเห็นเช่นไร
เจ้าแมวขาวหรี่ตาลง สีหน้าของเขาดูลึกล้ำ
นอกจากนั้น หลังจากที่ทำพันธสัญญากับนาง เขาก็สัมผัสได้ว่าในพลังปราณดั้งเดิมของนางมีพลังปราณโบราณที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งผสานอยู่
ถ้าเขาเดาไม่ผิด พลังนั้นจะต้องเป็นปีศาจที่นางทำพันธสัญญาด้วยอย่างแน่นอน!
จะว่าไปแล้ว ใครเล่าจะสามารถทำพันธสัญญากับปีศาจโบราณได้
ในตอนที่เจ้าแมวขาวกำลังจะอ้าปากถามเรื่องนี้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ร่างอันเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และเย็นชาราวกับพระจันทร์ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาหล่อเหลาเป็นที่สุด ผมสีดำของเขาทิ้งตัวลงด้านหลังชุดสีขาวกับเสื้อคลุมสีดำราวน้ำหมึก ทำให้คนที่เห็นยากจะมองข้ามไปได้
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอผู้ชายคนนี้ แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หนวดของเจ้าแมวขาวกระตุกด้วยความหวาดระแวงโดยไม่รู้ตัว
“เสี่ยวไป๋ ทำตัวดีๆ เขาเป็นน้องชายข้าเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบศีรษะเจ้าแมวขาว แล้วยกมือขึ้นเท้าคางด้วยท่าทางเกียจคร้าน นางหันไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ วันนี้ไม่มีเงินให้หรอกนะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอดหน้ากากแล้วรู้สึกว่า ชุดสีขาวและเสื้อคลุมสีดำที่เป็นเครื่องแบบของสำนักไท่ไป๋ก็ไม่เลวทีเดียว มันสามารถปกปิดกลิ่นอายและบรรยากาศบนร่างของเขาได้เป็นอย่างดี หนำซ้ำยังช่วยให้เขาสามารถควบคุมภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาต่อหน้าคนทั้งโลกได้ตามต้องการอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแผ่กลิ่นอายความชั่วร้ายออกมามากกว่าปกติ เขายื่นมือออกไปวางลงบนโต๊ะของนางโดยไม่ลังเล ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงไปหานางอย่างช้าๆ …
[1] แมวสามขา หมายถึงคนที่ไร้ความสามารถ เหมือนกับแมวที่มีสามขาซึ่งไม่สามารถจับหนูได้