องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 770 สุดยอดการตอบโต้ของเวยเวย (ตอนที่ 1)
คนแรกที่คิดออกจะเป็นนางหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่นางสามารถตอบคำถามได้อย่างตรงประเด็น ในท้ายที่สุด ความดีความชอบพวกนี้ก็จะตกเป็นของนาง แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของนางเลยก็ตาม!
สุดท้ายคนที่ต้องกลายเป็นคนไร้ประโยชน์และไร้ความสามารถก็คือเขากับพี่เว่ย ไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้!
หน้าด้าน!
คนคนนี้ช่างหน้าด้านเสียจริง!
จูเก่ออวิ๋นกำหมัดแน่น พร้อมกับจ้องหนีเฟิ่งเขม็ง เขาเกลียดชังผู้หญิงคนนี้จับใจ แต่ที่เขาเกลียดยิ่งกว่านั้นก็คือความใจร้อนของตัวเอง
แต่หากตอนนั้นเขายังเอาแต่เงียบ ความดีความชอบทั้งหมดก็จะกลายเป็นของหนีเฟิ่งอีกครั้ง!
เขาไม่ยอมหรอก!
เขาไร้ประโยชน์ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงทำได้เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ขโมยผลงานของพี่เว่ยไป
แต่สุดท้ายหัวขโมยก็ได้ความดีความชอบทั้งหมดไป อีกทั้งยังได้รับความเคารพรักจากทุกคน ในขณะที่คนที่ลงทุนลงแรงจริงๆ กลับถูกใส่ร้ายและเป็นฝ่ายเสียชื่อเสียง
จูเก่ออวิ๋นรู้สึกได้ถึงความขมขื่นที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ และรสชาติขมปร่าในลำคอ
มันน่าโมโหถึงเพียงนั้นเชียวล่ะ!
เมื่อเห็นสีหน้าของจูเก่ออวิ๋น เสียงของหนีเฟิ่งก็ยิ่งทวีความนุ่มนวลขึ้น ราวกับได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเป็นที่เรียบร้อย นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสารว่า ”เหตุที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมานั้นเป็นเพราะข้ากลัวว่ามันจะก่อให้เกิดความคลางแคลงใจขึ้นในหมู่พวกเรา อย่างไรเวลานี้ก็มีสายลับอยู่ในกลุ่มพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ข้าไม่คิดเลยว่าน้องอวิ๋นจะเข้าใจผิดไปเสียได้”
“ในเมื่อคุณหนูหนีพูดเอง มันก็คงเป็นเช่นนั้น จะต้องมีใครบางคนทำอะไรกับที่นี่เพื่อให้สองคนนี้มาถึงที่นี่เร็วกว่าพวกเรา และยังทำให้พวกเขาปรากฏตัวขึ้นบนเพดานในท่าทางพิศดารแน่” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกลับมาเคร่งเครียด พวกเขามองหน้ากัน
เพื่อยืนยันคำตอบของหนีเฟิ่ง คนอื่นๆ จึงหันมาจับจ้องจูเก่ออวิ๋น ”นายน้อยอวิ๋น ดูเหมือนครั้งนี้ท่านจะเข้าใจคุณหนูหนีผิดจริงๆ คราวหน้าท่านไตร่ตรองความคิดของตัวเองให้ดีก่อนพูด ท่านพ่อของท่านเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เราเคารพนับถือ อย่าให้ชื่อเสียงที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปีของตระกูลจูเก่อต้องหายไปในมือท่าน”
คำพูดของพวกเขานับว่ารุนแรงทีเดียว
ในสมัยโบราณนั้น ตระกูลใหญ่หลายตระกูลโดยเฉพาะตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตระกูลมากที่สุด
จูเก่ออวิ๋นขยันหมั่นเพียรมาตั้งแต่ยังเยาว์ และไม่ยอมให้ตัวเองรั้งท้ายคนอื่นเพียงเพื่อทำให้ผู้เป็นบิดาภาคภูมิใจ
แต่ตอนนี้…
จูเก่ออวิ๋นกำมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
เสี่ยวหลิงอยากช่วยเขา แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน ตอนที่พวกเขากำลังเดินหลงเป็นวงกลมอยู่นั้น เขาก็รู้อยู่แล้วว่าในหมู่พวกเขามีสายลับอยู่ แต่เรื่องนี้ก็มีแต่จะยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณหนูหนีวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง
หนีหู่ภูมิใจอย่างมาก เขากะแล้วว่าตราบใดที่มีพี่สาวอยู่ พวกเขาย่อมสามารถกำจัดจูเก่ออวิ๋นและคนนอกอีกสองคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาคิดว่าจะสามารถเอาชนะพี่สาวของข้าด้วยสติปัญญาได้หรือ ยังอ่อนหัดนัก!
ดูเอาเองก็แล้วกัน คราวนี้พวกเจ้าจบสิ้นแล้ว!
หนีหู่ย่อมเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในหมู่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เช่นเดียวกันกับหนีเปียว รสชาติอันเลวร้ายที่เคยอยู่ในปากของเขาก็หายไปเช่นกัน
น้ำเสียงกระจ่างใสราวกับสายน้ำดังขึ้นอีกครั้งจากทางด้านข้าง ”มีสายลับอยู่ในหมู่พวกเราจริงๆ แต่สาเหตุที่ทำให้ร่างของสองคนนั้นไปโผล่บนนั้นได้ไม่ใช่ฝีมือของสายลับคนใดหรอก คุณหนูหนี ดูเหมือนท่านคงไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมข้าถึงไม่เลือกประตูทางทิศตะวันออกตั้งแต่แรก”
เป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นเอง ริมฝีปากของนางโค้งเป็นรอยยิ้มสว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ”ในเมื่อท่านไม่ได้แอบฟังที่พวกข้าคุยกันจนจบบทสนทนา เช่นนั้นข้าจะบอกสาเหตุให้ท่านรู้ก็แล้วกันว่าทำไมพวกเราถึงไม่สามารถเลือกประตูทางทิศตะวันออกได้ เพราะที่นั่นมีตัวอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ และยังไม่ใช่สายลับหรืออะไรทำนองนั้นอีกด้วย มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสุสานโบราณเช่นนี้เหมือนกันกับแมลงกินซากศพ แต่เป็นตัวอะไรนั้น ข้าจะเปิดเผยให้ทุกคนรู้ในอีกไม่ช้า ทีนี้ตาข้าถามคุณหนูหนีบ้าง ตอนที่เราเข้ามาในสุสานหลวงครั้งแรก หากไม่รวมสองคนที่ตายไป พวกเราจะมีจำนวนทั้งหมดสามสิบสามคน และพวกเราทั้งสามสิบสามคนก็ไม่เคยคลาดสายตาจากกันเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าเชื่อว่าพวกเราย่อมสามารถเป็นพยานให้กันและกันได้ ถ้านี่เป็นฝีมือสายลับจริง การแบกร่างของสองคนนี้มาย่อมต้องใช้เวลาพอสมควร เขาจะแบกร่างสองร่างนี้มาถึงที่นี่โดยไม่มีใครเห็นได้อย่างไรทั้งๆ ที่มีสายตาของทุกคนจ้องมองอยู่”
หนีเฟิ่งอึ้งกับคำถามของเฮ่อเหลียนเวยเวย และไม่สามารถให้คำตอบได้ ใบหน้าของนางซ่อนอยู่หลังผ้าคลุมหน้าสีขาว ดังนั้นนางจึงดูไม่มีพิรุธแต่อย่างใด แต่นิ้วมือของนางกลับค่อยๆ กำเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้น
หนีหู่พูดขึ้นอย่างได้จังหวะว่า ”พี่เว่ย ท่านรู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ ถ้าสายลับคนที่ว่านั้นต้องการหลบเลี่ยงสายตาของพวกเรา ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็แค่ใช้ประตูอีกบาน ดูเหมือนท่านจะทั้งจนปัญญาและอับจนคำพูดแล้วกระมัง ถึงได้ถามคำถามโง่ๆ กับพี่สาวของข้าเช่นนี้ ท่านพยายามหลอกพวกเราอย่างน่าสมเพช มิหนำซ้ำยังหาว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่ในสุสานแห่งนี้อีกด้วย!”
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าบางครั้งนายน้อยหนีจะทำตัวฉลาดกับเขาเป็นด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกยิ้มให้กับหนีหู่ราวกับล้อเลียน
หนีหู่ไม่พอใจ ”เจ้าพูดเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”
“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่เห็นด้วยกับคำพูดของเจ้าเท่านั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดอย่างช้าๆ และเอื่อยเฉื่อยว่า ”ก็อย่างที่นายน้อยหนีว่า พวกเขาแค่ต้องใช้ประตูอื่นเพื่อเลี่ยงสายตาของพวกเราทุกคน เผื่อเจ้าอาจจะลืมไปแล้ว หลังจากผ่านประตูทางทิศใต้เข้ามา พวกเราก็พบเข้ากับทางแยกอีกสองทาง ในเวลานั้นนายท่านหนีให้พวกเราจับกลุ่มกันใหม่ เขากล่าวว่าคนที่จะสามารถติดตามเขาไปได้นั้นมีแค่คนที่ภักดีต่อตระกูลหนีเท่านั้น ส่วนใครที่ไม่ภักดีก็ให้ไปเข้ากับอีกกลุ่ม”
“ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้! ตอนนั้นพวกเรามีกันกี่คนหรือ สามสิบสามคนอย่างไรเล่า! ใช่แล้ว พวกเรามีกันทั้งหมดสามสิบสามคนพอดิบพอดี ไม่มากหรือน้อยกว่านั้น หมายความว่ากลุ่มของพวกเราไม่ได้มีจำนวนลดน้อยลงเลยตั้งแต่เข้าประตูทางทิศใต้มา แล้วสายลับที่ว่าจะมาจากไหนหรือ”
หนีหู่ทึ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจดจำตัวเลขได้อย่างแม่นยำ
เขายืนนิ่งราวกับคนโง่พร้อมกับทำตาโต เขาพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดประโยคที่แล้วจบ คนอื่นๆ ต่างก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ เมื่อความจริงถูกเปิดเผยขึ้นต่อหน้าเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อว่าสิ่งที่พี่เว่ยพูดมานั้นถูกต้อง
หลังจากได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยช่วยเตือนความจำ บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจึงนึกเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ทันที
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง
“จริงสิ ตอนที่พวกเราแยกกันออกเป็นสองกลุ่ม ทุกคนยังอยู่ที่นั่นกันครบ จึงไม่มีทางที่ใครจะสามารถเดินเข้าประตูอื่นไปได้”
“หมายความว่าสายลับคนนั้นไม่ได้เป็นคนเอาร่างของกัวจื่อกับเสี้ยวจื่อไปหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่!”
“เจ้าไม่ได้ยินที่พี่เว่ยบอกหรือ มันไม่ใช่ฝีมือสายลับ แต่เป็นตัวอะไรบางอย่างที่อยู่ในสุสานนี้ต่างหาก!”
“สวรรค์! ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นคุณหนูหนีก็…”