องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 773 เผชิญหน้ากับปัญหาอันยากจะแก้ไข
ผู้เฒ่าหลี่หันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย
จากนั้นความรู้สึกชื่นชมจากใจจริงก็ถาโถมเข้าใส่เขา
ถ้าเขาให้ความเคารพหนีเฟิ่งเพราะนางเป็นพระชายามาเกิดใหม่ เช่นนั้นความเคารพนับถือที่เขามีให้กับน้องเว่ยก็คงจะมาจากความสามารถอันเหนือความคาดหมายที่เขาแสดงออกมาให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า
ใครๆ ต่างก็เคยเห็นใยแมงมุมมาก่อนทั้งนั้น แต่มาคิดดูอีกที ใครเล่าจะสามารถเชื่อมโยงมันเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันได้
แม้พวกเขาจะเห็นใยสีเงินนั้นจริงๆ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนนักว่ามันคืออะไร มีก็แต่เพียงน้องเว่ยคนเดียวเท่านั้นที่หัวไวถึงเพียงนี้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างรู้กันดีว่าการจะหาคำตอบได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้นต้องใช้ทั้งสติปัญญาและความรู้อย่างมหาศาล และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้
คนคนนี้สุดยอดจริงๆ!
ผู้เฒ่าหลี่นึกภาพไม่ออกเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดถ้าหากเขามีพลังวิญญาณ
เพื่อปกป้องตระกูลหนีจากคำวิพากษ์วิจารณ์ หนีเปียวจึงจำต้องพูดขึ้นว่า ”ในเมื่อตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพตรงหน้า เช่นนั้นพวกเราก็ควรที่จะรีบมุ่งหน้าไปให้ถึงสุสานหลักโดยเร็วที่สุดไม่ดีกว่าหรือ”
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาต้องคิดหาทางกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลหนีเอาไว้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครทำให้มันเสื่อมเสียได้อีกเด็ดขาด
นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา พวกเขาจะนำขบวนพาทุกคนมุ่งหน้าต่อโดยเดินผ่านใต้ซากศพพวกนี้ไป
อย่างไรพวกมันก็เป็นเพียงแค่ใยแมงมุม ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล
หนีเปียวตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสอันเหมาะสมที่สุดที่จะผ่านเส้นทางนี้ไป เพราะแมงมุมที่สร้างใยชนิดนี้ขึ้นไม่ได้อยู่ที่นี่
ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็แค่ส่งหน่วยสอดแนมให้ล่วงหน้าไปก่อนเพื่อค้นหาอันตรายที่รออยู่ข้างหน้าก็ยังได้
จากนั้นหนีเปียวจึงหันกลับไปมองด้านหลัง และเห็นว่าตระกูลหนียังมีคนอยู่ครบ
เขาชุบเลี้ยงบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเหล่านี้มาตั้งแต่ที่พวกเขายังเด็ก ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นเวลาอันดีที่พวกเขาจะได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองแล้ว
“ชิงซาน ชิงสุ่ย พวกเจ้าสองคนล่วงหน้าไปก่อน” หนีเปียวออกคำสั่งกับคนสองคนที่อยู่ด้านหลัง
ลูกศิษย์ของตระกูลหนีทั้งสองคนนี้เป็นคนมีความสามารถอย่างมาก และยังมีพลังวิญญาณกล้าแกร่งอีกด้วย พวกเขามักจะดูถูกผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากตระกูลอื่นอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของหนีเปียว พวกเขาก็เชิดคางขึ้น แล้วตอบว่า ”ขอรับ อาจารย์!”
ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นหนึ่งในนั้นจึงหยิบยันต์ออกมาในขณะที่อีกคนหนึ่งชักกระบี่ไม้ท้อของตัวเองออกอย่างกล้าหาญ
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเริ่มมองตระกูลหนีใหม่ แม้พวกเขาจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี แต่การกระทำของหนีเปียวก็ทำให้พวกเขาประทับใจอย่างมาก
ไม่มีใครอยากรับบทเป็นผู้นำในสถานการณ์เช่นนี้ คำสั่งของหนีเปียวจึงทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเข้าใจหนีเฟิ่งผิดไป
หลังจากสิ้นคำสั่งของหนีเปียว หนีเฟิ่งก็ไอออกมาแล้วเอ่ยกับพวกเขาเบาๆ ว่า ”ระวังตัวด้วย” ภาพนี้ยิ่งทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรู้สึกผิดขึ้นไปอีก
น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานของนางไพเราะเหมาะสมกับนิสัยอ่อนโยนและเยือกเย็นนั้นอย่างมาก
หากว่ากันตามตรงแล้ว ท่าทางอันอ่อนแอบอบบางนั้นทำให้พวกเขารู้สึกอยากปกป้องนางยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่เงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้ม
หากเทียบกับหนีหู่แล้ว หนีเปียวกับหนีเฟิ่งนั้นรับมือได้ยากกว่ามากนัก
สองพ่อลูกเข้าใจนิสัยใจคอของมนุษย์ดีเกินไป ทั้งยังรู้เป็นอย่างดีว่าเวลาไหนควรทำอะไรเพื่อทำให้คนอื่นเลิกสงสัยตัวเอง
พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการส่งคนในกลุ่มไปตอนนี้เป็นเรื่องที่อันตรายทีเดียว
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นมองเห็นแต่เพียงความมีน้ำใจที่หนีเปียวมีให้ แต่พวกเขากลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าหนีเปียวไม่เต็มใจที่จะไปด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงทำเพียงแค่ส่งลูกศิษย์ของตัวเองไปแทน
ลูกศิษย์เหล่านี้ไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลหนี พวกเขาเป็นเพียงแค่เด็กมีพรสวรรค์ที่เขาเก็บมาจากหลายๆ ที่ แล้วนำมาฝึกฝนให้เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตั้งแต่ยังเด็กเท่านั้น แม้พวกเขาจะขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลหนี แต่จริงๆ แล้วพวกเขาก็เป็นได้เพียงตัวเบี้ยเท่านั้น
ถ้าหนีเปียวเห็นพวกเขาเป็นเหมือนกับลูกของตัวเองจริงๆ เขาก็คงไม่ใจไม้ไส้ระกำส่งพวกเขาไปโดยไม่ลังเลเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าหนีเปียวย่อมไม่มีทางส่งหนีหู่ออกไปทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้แน่ เพราะเขาเป็นลูกแท้ๆ ของหนีเปียว แต่คนอื่นๆ นั่นเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ของเขาเท่านั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกรังเกียจการกระทำของหนีเปียว นางเป็นราชินีนักรบ ดังนั้นนางจึงมีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นจำนวนมากเช่นกัน
แต่ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย นางไม่เคยส่งคนของตัวเองออกไปผจญอันตรายในแนวหน้าแทนนาง
องค์ชายอ่านความคิดของนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เขายืนอยู่ที่ด้านหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขางอขายาวพิงกำแพงหินเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามขณะยกยิ้มอย่างชั่วร้าย
มนุษย์มักจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้อยู่เสมอ
แต่ในฐานะปีศาจ เขาก็ชื่นชอบที่จะได้เห็นมนุษย์เข่นฆ่ากันเอง
“หึ”
ดูเหมือนเวลานี้จะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองเขา นางเอ่ยถามขึ้นทั้งที่รู้ว่าจิตใจของเขาบิดเบี้ยวเพียงใด ”ดูท่านจะชอบใจมากทีเดียว”
“ก็มากพอดู” รอยยิ้มที่มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ่งเห็นได้เด่นชัด ก่อนจะใช้น้ำเสียงอันสง่างามและไพเราะน่าฟังของตัวเองเตือนนางว่า ”อยู่ห่างๆ ไว้ ข้าไม่อยากให้เลือดกระเด็นมาเปื้อนเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลอกตา : …
ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ตรงนั้นหรือ
เดี๋ยวสิ
เมื่อครู่นี้องค์ชายพูดว่าเลือดหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ใช่คนที่พูดอะไรโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปข้างหน้าทันที
มีบางอย่างผิดปกติ
ต่อให้แถวนี้จะไม่มีสัตว์อสูรคอยคุ้มกันเส้นทางอยู่ แต่คนนอกอย่างพวกนางก็ไม่ควรที่จะเข้ามาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้!
ทันทีที่ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของเฮ่อเหลียนเวยเวย ชิงซานและชิงสุ่ยที่เพิ่งเดินเข้าไปในถ้ำก็เหมือนจะเดินสะดุดอะไรเข้า
หลังจากนั้น!
เสียงกรีดร้องชวนขนหัวลุกก็ดังขึ้น!
สีหน้าอวดดีของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าแห่งความหวาดกลัวทันทีที่ใยสีเงินตัดผ่านลำคอของพวกเขา!
เลือดสดๆ ของทั้งสองพุ่งออกมาราวกับน้ำพุและย้อมสถานที่แห่งนั้นจนกลายเป็นสีแดง
ชิงซานโชคดี เขายังเอาชีวิตรอดมาได้
ชิงสุ่ยโชคไม่ดีนัก เขาถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทั้งที่ยังไม่ได้ยกยันต์ขึ้นด้วยซ้ำ สิ่งนั้นกระตุกใยอย่างแรงเพียงครั้งเดียว ร่างของเขาก็ถูกแขวนค้างอยู่กลางเพดาน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา พอทุกคนตั้งสติได้ พวกเขาก็เห็นประกายจากใยสีเงินที่พันซ้อนกันอยู่รอบร่างของชิงสุ่ย แต่เส้นใยที่ว่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พวกมันพันรอบตัวเหยื่อได้ ใยพวกนั้นก็ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาอีก หากไม่มีแสงสะท้อนจากคบไฟ พวกเขาคงไม่มีทางมองเห็นพวกมันได้เลย
ชิงซานยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกวัดแกว่งกระบี่ไม้ท้อในมือราวกับเสียสติ แต่แน่นอนว่าไร้ผล
เส้นใยสีเงินพวกนั้นเหนียวเกินไป ดังนั้นกระบี่ของเขาจึงตัดพวกมันไม่ขาด
“อะ อาจารย์… ช่วย ช่วยข้าด้วยขอรับ!” ชิงซานยื่นนิ้วออกมา พร้อมกับตะเกียกตะกายพยายามคลานเข้ามา แม้จะมีความตายอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าผู้เป็นอาจารย์จะช่วยเขา
หนีเปียวก้าวเท้าออกมา แต่นั่นเป็นเพียงแค่การแสดง ในสายตาของคนนอกแล้ว เขาดูเหมือนต้องการที่จะช่วยชิงซานจริงๆ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาก้าวเท้าออกไปอย่างระมัดระวังเพียงใด เพราะเท้าของเขาไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปใน ‘ใยแมงมุม’ เลยแม้แต่นิดเดียว…