องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 775 แผนการ
ทุกคนชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินคำพูดของหนีหู่
สายตาที่พวกเขาจ้องมองหนีหู่ล้วนแต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
หนีหู่ไม่รู้ตัวเลยว่าการท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่าของเขาทำให้บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเสื่อมศรัทธาและหมดสิ้นความเคารพในตระกูลหนี
เขายังคงเชิดหน้าพร้อมกับยักคิ้วใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนเคย
ทุกคนรู้ว่าเวลานี้คงไม่มีใครเต็มใจที่จะเป็นผู้นำ การเดินตรงเข้าไปในบริเวณที่มีใยแมงมุมพวกนั้นอยู่ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากการเดินเข้าหาความตายเหมือนดังที่ชิงซานและชิงสุ่ยแสดงให้เห็น
เขามั่นใจว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยคงไม่สามารถทำตัวอวดดีเหมือนเคยได้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงแค่ปรายตามองเขา จากนั้นจึงหันไปถามนอกเรื่องว่า ”กติกาการแข่งขันยังใช้ได้อยู่หรือไม่”
กติกาการแข่งขันหรือ กติกาอะไรกัน
คนส่วนหนึ่งเหมือนจำไม่ได้ว่าพวกเขายังอยู่ในระหว่างการแข่งขัน
หลังจากเหม่อไปครู่หนึ่ง พวกเขาจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า ”แน่นอน คนที่ไปถึงสุสานหลักได้เร็วที่สุด และผ่านด่านได้มากที่สุดจะได้เป็นผู้ชนะ”
“เยี่ยมไปเลย” หลังได้คำตอบที่ต้องการ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้าออกเดิน
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นเบิกกว้าง พร้อมกันนั้นเขาก็รีบกางแขนขวางทางนางเอาไว้ ”พี่เว่ย ไม่ได้นะขอรับ! ท่านต้องไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะคำพูดของหนีหู่นะ! เขามักจะ…”
“ทำอะไรบุ่มบ่ามหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยกะพริบตาแล้วเอ่ยต่อ ”เหอะ! คนระดับเขาไม่คู่ควรให้ข้าต้องนำมาใส่ใจด้วยซ้ำ พวกเรายังอยู่ในการแข่งขันมิใช่หรือ พวกเราต้องผ่านด่านให้ได้มากๆ ถึงจะชนะ” นางมีเป้าหมายชัดเจนมาโดยตลอด และเป้าหมายที่ว่านั่นก็คือการนำพระสรีระกลับมา
จูเก่ออวิ๋นอึ้งไปหลังจากได้ยินที่นางพูด สรุปว่านางทำเพื่อชัยชนะนี่เอง
ไม่สิ ต่อให้มันจะเป็นการทำเพื่อชัยชนะ แต่มันก็ยังอันตรายเกินไปอยู่ต่อดี!
แต่ยังไม่ทันที่จูเก่ออวิ๋นจะได้พูดสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ออกมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เดินอ้อมไปอยู่หน้าเขาเสียแล้ว
หนีหู่โมโหกับท่าทางอวดดีและคำพูดที่นางดูถูกเขาอย่างมาก เขาหรี่ตาลงพร้อมกับรอที่จะได้เห็นอีกฝ่ายตายอย่างน่าอนาถ
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างก็พากันขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองตรงกลางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ลึกๆ ในใจนั้นพวกเขาไม่อยากให้นางตาย มีหลายคนที่ถึงกับอยากอาสาแทนเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะผ่านใยแมงมุมพวกนั้นไปได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้จึงมีเพียงแค่การยืนรอเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยโน้มตัวลงเก็บหินขึ้นมาอีกก้อน หินเจ็ดถึงแปดก้อนที่นางเก็บมาล้วนแต่มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านสีสันและขนาด พวกมันกลิ้งอยู่ในฝ่ามือของนาง
ไม่มีใครเข้าใจจุดประสงค์ของนางจนกระทั่งนางโยนหินก้อนหนึ่งออกไป ทันใดนั้นก็มีใยแมงมุมก้อนหนึ่งกลิ้งออกมา ดวงตาของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเบิกกว้างและสั่นระริกด้วยความไม่เชื่อขณะที่คิดกับตัวเองว่า วิธีนี้ก็ได้ผลหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ ขว้างหินออกไปอย่างไม่รีบร้อน นางจะออกเดินก็ต่อเมื่อมีก้อนหินที่ถูกใยแมงมุมพันกลิ้งออกมาเท่านั้น ท่าทางสบายๆ และไม่แยแสต่อสิ่งใดนั้นทำให้นางดูเหมือนกำลังเล่นสนุกอยู่ก็ไม่ปาน
ไม่มีใครรู้ว่าในสายตาของราชินีนักรบแล้ว ใยแมงมุมทั้งอ่อนแอและเปราะบาง
เพียงแค่โยนอะไรสักอย่างใส่ รูปแบบของใยแมงมุมพวกนี้ก็จะเสียกระบวนทันที พวกมันไม่เหมือนเลเซอร์ในยุคปัจจุบันที่ไม่สามารถทำลายได้ ถึงจะมีแว่นมองเลเซอร์ แต่ก็ใช่ว่าเราจะสามารถเลี่ยงการสัมผัสโดนเลเซอร์พวกนั้นได้อย่างสมบูรณ์
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางขึ้นพร้อมกับขว้างหินก้อนสุดท้ายออกไป ในไม่ช้านางก็มาถึงทางเข้าถัดไป จากนั้นนางจึงปัดฝุ่นออกจากมือ ก่อนจะหันกลับไป แล้วยักคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า ”เอาล่ะ ทีนี้พวกท่านก็เดินตามทางที่ข้ามาได้แล้ว”
จูเก่ออวิ๋นตกตะลึง
ในเวลานั้น แม้แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ยังลืมหายใจไปชั่วขณะด้วยซ้ำ
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเป็นคนเดียวที่เคลื่อนไหว ร่างสูงโปร่งและขาเรียวยาวที่ก้าวออกมานั้นยากจะละสายตาได้ เขาดูมีความสง่างามที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มี
ทุกคนทำได้เพียงเหม่อมองทุกย่างก้าวที่เขาเดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้น… เขาก็จับมือนาง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดมันอย่างเบามือ
“เอ่อ…” จูเก่ออวิ๋นเหงื่อตก พี่เจวี๋ยจะรักสะอาดเกินไปหน่อยหรือเปล่า
แต่ทำไมในสายตาของเขา ภาพเมื่อครู่นี้ถึงได้ดูงดงามถึงเพียงนี้ล่ะ
เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคือภาพการแสดงความรักใคร่ระหว่างผู้ชายสองคน ดังนั้นเขาจึงสันนิษฐานว่าตัวเองคงจะตาฝาดไปแล้วแน่ๆ
จูเก่ออวิ๋นสะบัดศีรษะอย่างแรง เมื่อคิดว่าเขาอาจจะชอบต้วนซิ่ว เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารก็รู้สึกกลัวยิ่งนัก
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ จูเก่ออวิ๋นจึงเดินตามพวกเขาไป แต่เพราะกลัวจะก้าวพลาด เขาจึงระมัดระวังตัวมากกว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
อันที่จริงนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถเดินได้อย่างฉบายใจเพราะนางรู้ว่าใยพวกนี้ขาดแล้ว และพวกมันไม่สามารถซ่อมตัวเองกลับไปได้ ดังนั้นตราบใดที่ไม่มีแมงมุมอยู่ที่นี่คอยชักใยใหม่ มันย่อมไม่มีอะไรให้นางต้องกลัว
ในที่สุดจูเก่ออวิ๋นก็มาถึงอีกฝั่งหนึ่ง หน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเกิดจากความกังวล หลังจากที่ผ่อนคลายลง เขาก็รีบหันกลับไปตะโกนบอกเสี่ยวหลิงและคนอื่นๆ ว่า ”ไม่มีปัญหา พวกเจ้ามากันได้แล้ว!”
อีกด้านหนึ่งนั้น ถ้าจะบอกว่าหนีหู่ขายขี้หน้าก็ยังนับว่ากล่าวเบาไปด้วยซ้ำ
เสี่ยวหลิงจงใจพูดกับเขาระหว่างที่เดินออกไปว่า ”เจ้าต้องหน้าด้านถึงเพียงใดกัน ถึงได้กล้าท้าทายลูกพี่เว่ยทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรถึงเพียงนั้น!”
ในอดีตหนีหู่ไม่เคยแม้แต่จะปรายตามองคนอย่างเสี่ยวหลิงด้วยซ้ำ เพราะผู้ขับไล่วิญญาณร้ายในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายล้วนแต่ยกย่องให้ตระกูลหนีเป็นแบบอย่างของพวกเขา
ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยเขาเช่นนี้มาก่อน
หนีเปียวสังเกตเห็นเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เขาจะพูดอะไร คนพวกนี้ก็ไม่คิดที่จะสรรเสริญเยินยอพวกเขาอีก
ตลอดชีวิตของเขา เขาใช้มันไปกับการพยายามข่มอำนาจของตระกูลอื่น เพื่อให้สักวันหนึ่งตัวเองจะได้ขึ้นเป็นผู้นำของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งหมด เขาทำถึงขั้นใส่ร้ายสหายรักอย่างจูเก่อเซิงเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้เขาเกือบมาถึงจุดหมายปลายทางนั้นแล้ว แต่แผนการของเขากลับต้องมาย่อยยับด้วยฝีมือของคนนอกเพียงคนเดียว
หนีเปียวกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ในเวลานี้เขาจำเป็นต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน
อย่างไรผู้เฒ่าหลี่ก็ยังยืนอยู่ข้างเขา
ใช่แล้ว ลูกสาวของเขาคือพระชายา นางเป็นวิญญาณของเทพธิดาที่จุติลงมาเกิด
ตราบใดที่มีพระชายาอยู่ ย่อมไม่มีใครสามารถสั่นคลอนรากฐานของตระกูลหนีได้ ต่อให้คนพวกนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม
พระชายาเปรียบเสมือนเทพธิดาสำหรับตระกูลของผู้ขับไล่วิญญาณร้าย
แต่อย่างไรเขาก็ต้องคิดหาวิธีกำจัดเจ้าสองคนนั้นไปให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องกำจัดเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นก่อน
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น เสียงหัวเราะชั่วร้ายก็พลันดังขึ้นในหูของเขา มันเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า ”ข้าช่วยเจ้าได้ ตราบใดที่เจ้าพาข้าไปหาเจ้าคนแซ่เว่ยที่เจ้าพูดถึงได้ ข้าย่อมสามารถกลืนกินนางได้ทันที”
ใครกัน
ใครกำลังพูดกับข้าอยู่?!
หนีเปียวหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ที่นั่นไม่มีใครอยู่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ นิ้วของเขาชักกระบี่ไม้ท้อที่เอวออกมาตามสัญชาตญาณ
“อย่ามองหาให้ยากเลย เจ้ามองไม่เห็นข้าหรอก” เสียงนั้นหัวเราะด้วยเสียงอันแหบพร่า เหมือนกับเสียงแมงมุมคลานบนพื้นที่ดังกังวานอยู่ในอากาศ มันช่างเป็นเสียงที่น่ากลัวยิ่งนัก…