องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 78 คำถามเกี่ยวกับฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดแต่ละคำออกมาอย่างเชื่องช้า แต่ทุกถ้อยคำนั้นล้วนมีเสน่ห์ “ข้าไม่ได้มาเพื่อขอเงิน แต่ข้ามาเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้สนับสนุนทางการเงินของข้าต่างหาก ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเกือบถูกพวกแมวลักพาตัวไปในฐานะอาชญากรเสียแล้ว”
ดูสิว่าองค์ชายสามแสดงละครเก่งเพียงใด
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาวโดยไม่ได้ถอยห่าง หนำซ้ำ นางยังยื่นหน้าและลูบศีรษะของอีกฝ่าย “ไม่ต้องเป็นห่วง พี่สาวของเจ้าคนนี้ไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ หรอก ข้าเป็นคนสั่งให้พวกเขาทุกคนกลับไปเอง”
“จริงหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองท่าทีของนางอย่างมีนัย แล้วเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยู่กับองค์ชายสามตามลำพังในป่าวิญญาณนั่นหนึ่งวันเต็มๆ”
เวยเวยส่งเสียง ‘อืม’ และจู่ๆ นางก็ทำท่าราวกับนึกเรื่องบางอย่างได้ ก่อนจะคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แล้วพูดขึ้น “หากเจ้าไม่พูดขึ้นมา ข้าก็คงลืมไปแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเขาเป็นฝ่ายรับ”
“อะไรนะ” สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
เวยเวยอธิบาย “ก็ต้วนซิ่ว[1]น่ะ เอ่อ พวกเขาเรียกว่า ‘ฝ่ายรุก’ และ ‘ฝ่ายรับ’ ใช่หรือไม่ ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าองค์ชายสามผู้มีท่าทีสง่างามเช่นนั้น จะกลายเป็นฝ่ายรับเช่นนี้!”
“ฝ่ายรับหรือ” ดี ดีมาก ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยให้เห็นความเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในอนาคต เขาจะทำให้นางได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับกันแน่
“เจ้าก็แปลกใจใช่ไหมเล่า ตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ครั้งแรก ข้าเองก็ประหลาดใจเช่นกัน” เวยเวยไม่ได้สังเกตท่าทีของอีกฝ่าย เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการหาผ้าเช็ดหน้าที่ซักไว้ก่อนแล้ว จากนั้น ก็พับมันเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมอย่างประณีต ก่อนจะวางมันลงในกล่องสีเหลืองใบเล็ก
เงาทมิฬที่ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกได้ยินสิ่งที่นางพูด ก็รู้สึกว่าเข่าทั้งสองข้างอ่อนแรง พร้อมกับมีเหงื่ออันเย็นเฉียบไหลออกมา ก่อนจะกลายเป็นเพียงไอระเหย เขาต้องการจะขยับตัวเพื่อส่งสัญญาณให้เวยเวยหยุดพูด
อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง
ทันใดนั้น แขนขาของเงาทมิฬก็แข็งเกร็ง ก่อนจะถอยหลังกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม และเฝ้าดูเงียบๆ ต่อไป
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไปจับจ้องที่มือของเวยเวย ริมฝีปากบางของเขาโค้งขึ้น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะดูแลผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าทีเดียว”
“แน่นอนสิ มันคือสมบัติล้ำค่า” เวยเวยพูดด้วยเสียงจริงจัง “นี่คือผ้าเช็ดหน้าที่องค์ชายสามเคยใช้มาก่อน”
“อ๋อ” แววตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราวกับมีแสงสว่างวาบอยู่ภายใน เมื่อเห็นว่านางดูแลผ้าเช็ดหน้าของเขาดีมากเพียงนี้ เขาก็จะปล่อยนางไป…
ขณะที่เวยเวยปิดฝากล่องใบนั้น นางก็พูดพึมพำ “ข้าได้ยินมาว่าผ้าเช็ดหน้าที่เขาใช้นั้นมีค่ามาก และหากจัดเก็บในกล่องไว้อย่างดี แล้วค่อยนำไปขายต่อให้กับหญิงสาวคนอื่นๆ ถึงตอนนั้นก็น่าจะขายได้ราคาดีทีเดียว…”
“เจ้าจะเอามันไปขายหรือ” นิ้วมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดชะงัก และพูดแทรกนางอย่างสุขุม
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แน่ใจว่าตนเองมีปัญหาเรื่องการได้ยินหรือไม่ แต่นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกไม่พอใจ “ใช่แล้ว ทำไมหรือ”
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย็นชาลงเล็กน้อย ลมหายใจของเขาเย็นเยียบ แต่น้ำเสียงของเขาแทบจะไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “เปล่า”
ดูเหมือนว่าเหยื่อตัวนี้จะยังเลี้ยงไม่เชื่อง
ถึงเวลาที่เขาจะต้องถอดกรงเล็บของนางออกเสียแล้ว
อ่า…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างชั่วร้ายและเยือกเย็น ทำให้เงาทมิฬสั่นสะท้านไปทั้งตัว และแทบจะร่วงลงมาจากต้นไม้
ตั้งแต่ที่นายท่านรู้จักกับบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้ เขาก็เผยรอยยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยจริงๆ
เพราะคนอย่างฝ่าบาทนั้น ยิ่งเขายิ้มอย่างน่ากลัว ก็ยิ่งบ่งบอกว่าเขาอารมณ์ไม่ดี!
“ข้าดูเหมือนเป็นฝ่ายรับเช่นนั้นหรือ”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่กับเงาทมิฬเพียงสองคน เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยถามข้ารับใช้ที่เดินตามหลังเขา
เงาทมิฬรู้สึกราวกับชาไปทั้งหนังศีรษะ ก่อนจะส่ายหน้าในทันที จากนั้น จึงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ฝ่าบาท ต่อให้ฝ่าบาทเต็มใจที่จะเป็นฝ่ายรับอยู่ด้านล่าง ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าให้ฝ่าบาทอยู่ใต้พวกเขาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนของตนเองช้าๆ แล้วริมฝีปากบางของเขาก็ค่อยๆ โค้งขึ้น “แต่ในเมื่อนางชอบท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น หากข้าไม่ทำให้นางพึงพอใจ มันจะไม่ใจร้ายเกินไปหรือ หึ”
แผ่นหลังของเงาทมิฬแข็งทื่อ
เขาหมายความว่าอย่างไรกันที่บอกว่าในเมื่อนางชอบท่านั้น
ฝ่าบาท ‘ท่า’ ที่ฝ่าบาทกำลังพูดถึง มันไม่ใช่ ‘ท่า’ ที่ข้ารับใช้กำลังคิดอยู่ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอนตัวพิงใต้ต้นไม้โบราณ และไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วมือพลิก จับ และใส่หน้ากากสีเงินบนใบหน้าอีกครั้ง มันช่างปกปิดใบหน้าอันหล่อเหลาได้อย่างดี เผยให้เห็นเพียงดวงตาลึกลับและริมฝีปากบางที่สวยงามเท่านั้น
เมื่อคิดได้ว่าอีกไม่นานเขาก็จะสามารถถอดเขี้ยวเล็บของเจ้า ‘จิ้งจอกน้อย’ ได้ พร้อมกับสามารถจับให้นางนั่งทับบนตัวเขา และทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ดวงตาคู่นั้นก็ยิ่งลึกล้ำลงไปเรื่อยๆ ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาลูบไล้ริมฝีปากบางของตนเอง ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์และดูร้ายกาจมากขึ้น เขาจะทำอย่างที่นางบอก นั่นคือเขาจะเป็น ‘ฝ่ายรับอยู่ด้านล่าง’…
ลมพัดผ่านไปเบาๆ และชั่วพริบตา ตรงใต้ต้นไม้โบราณนั้น ก็ไม่มีคนในชุดสีดำและเสื้อสีขาวราวกับแสงจันทร์อีก
ณ ปีกฝั่งตะวันตกของสำนักศึกษาไท่ไป๋
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับแจ้งให้เดินทางลงไปยังเชิงเขา เพราะเหล่าผู้อาวุโสประจำตระกูลมีเรื่องสำคัญจะประกาศ
ในตอนแรก เวยเวยไม่รู้ว่าทำไมคนที่นางไม่ได้พบเจอมาเป็นสิบปี จู่ๆ ถึงคิดถึงนาง และมาหาในวันนี้
แต่หลังจากนางไปที่ห้องโถงประจำตระกูล นางก็เข้าใจว่าพวกเขามา ’เพื่อแก้แค้น’ ให้กับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
อืม นางเองก็อยากจะเห็นนัก พวกเขาคิดว่าจะทำอะไรนางได้เช่นนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือกอดอกและหัวเราะอย่างเยือกเย็น แววตาที่เย้ยหยันนั้นทำให้เฮ่อเหลียนกวงเย่าที่นั่งอยู่ตรงกลางรู้สึกว่าท้องไส้ของเขาปั่นป่วนอย่างไม่อาจอธิบายได้
เมื่อเขากลับมาได้สติอีกครั้ง เขาก็ตบโต๊ะอย่างแรง สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นิสัยของเจ้าเป็นเช่นนี้หรือ เจ้าทำตามใจตัวเอง โดยไม่เคารพผู้อาวุโสเลยเช่นนั้นหรือ” ดวงตาของเฮ่อเหลียนกวงเย่าดูเคร่งขรึม น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “หากข้ารู้ก่อนว่าเจ้าจะเป็นต้นตอของปัญหาเช่นนี้ ในปีนั้น ข้าก็คงจะขับไล่เจ้าออกไปโดยไม่สนความรู้สึกใดๆ หรือใครหน้าไหนทั้งสิ้น และตอนนี้ ผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลก็ได้เห็นสิ่งที่เจ้าทำในสำนักไท่ไป๋แล้ว จำเอาไว้ ไม่ใช่เพราะท่านพ่อคนนี้ไม่อยากจะปกป้องเจ้า แต่เป็นเพราะเจ้าเองที่นิสัยเสียเกินไป ข้าแก่แล้ว และไม่อยากเห็นน้องสาวผู้อ่อนโยนของเจ้าต้องถูกเจ้าทำร้ายเช่นนี้อีก”ขณะที่พูด เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็มองผู้อาวุโสทั้งสี่คนที่กำลังนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง “ผู้อาวุโสทั้งหลายคงจะรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะมาที่นี่แล้ว เพราะความเข้าใจผิด นังลูกชั่วคนนี้จึงทำให้น้องสาวทั้งสองคนต้องคุกเข่าขอโทษนาง ช่างใจร้ายอะไรเช่นนี้ ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมัน เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”
หลังจากที่ได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสทั้งสี่คนก็วางถ้วยกระเบื้องในมือลงทีละคน และหนึ่งในนั้นก็หัวเราะเยาะขึ้น “ข้าเคยบอกแล้วว่าพวกเราจะต้องขับไล่ขยะไร้ค่าคนนี้ออกจากตระกูลไป เพื่อรักษาหน้าตาของตระกูลเฮ่อเหลียนของพวกเราเอาไว้ และตอนนี้นางยังบังอาจมารังแกแม้กระทั่งคุณหนูเจียวเอ๋อร์”
“คุณหนูเจียวเอ๋อร์จะเข้าร่วมการแข่งขันประลองยุทธ์ในเร็วๆ นี้ นางเป็นคนที่มีพรสวรรค์และยังได้รับเลือกให้เป็นซิ่วนู่[2]จากอดีตฮ่องเต้อีกด้วย ครั้งนี้นังคนไร้ค่ากลับบังคับให้นางต้องทนแบกรับความทุกข์ใจครั้งใหญ่ มันทำให้ตระกูลเฮ่อเหลียนของพวกเราต้องอัปยศอดสูยิ่งนัก” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมกับสั่งการ “ใครก็ได้ มาจับตัวนังคนไร้ค่าคนนี้ และโบยด้วยไม้ร้อยครั้ง จากนั้นก็โยนนางออกจากบ้านหลังนี้ไปเสีย คนอย่างนางไม่สมควรที่จะได้อยู่ที่นี่”
[1] ต้วนซิ่ว หรือ ตัดแขนเสื้อ เป็นสำนวนที่ใช้เรียกชายรักชาย
[2] ซิ่วนู่ (秀女) หรือ หญิงดีงาม เป็นตำแหน่งที่จะได้รับจากฮ่องเต้หรือไทเฮา หากเกิดเป็นหญิงดี หน้าตาพอรับได้ และมีชาติตระกูลสูงส่ง เข้าพระเนตรฮ่องเต้ หรือไทเฮา