องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 785 เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใกล้ความจริง
“พี่เว่ยรู้ได้อย่างไรขอรับ” ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นเป็นประกายด้วยความชื่นชม
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”เจ้าเคยบอกว่านางสุขภาพไม่ดีนัก และต้องอยู่แต่ในจวนมานาน นางเพิ่งจะได้ออกมาข้างนอกเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง”
“ก็ใช่ขอรับ แต่ข้าไม่เคยบอกว่าร่างกายนางไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็กนะ” จูเก่ออวิ๋นพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงพูดต่อ ”แต่ก่อนที่หนีเฟิ่งจะโต นางอ่อนแออย่างมากจริงๆ ขอรับ ลุงหนีไม่เคยให้นางออกมาข้างนอก แม้กระทั่งหนีหู่ก็ยังเคยมาร้องไห้กับข้าอยู่ครั้งหนึ่งแล้วบอกว่าพี่สาวของเขากำลังจะสิ้นใจด้วยซ้ำ…”
“หนีหู่บอกเช่นนั้นกับเจ้าด้วยตัวเองหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา
จูเก่ออวิ๋นพยักหน้า ”ใช่ขอรับ ตอนนี้พวกเราอาจไม่ได้ดูสนิทสนมกันถึงเพียงนั้น แต่ตอนเด็กๆ พวกเราเคยเล่นด้วยกัน ข้าจำได้ว่าหนีหู่มีปฏิกิริยารุนแรงกว่าปกติ และตระกูลหนีทั้งตระกูลก็ตกอยู่ในความโศกเศร้า ข้าเคยได้ยินมาว่าพวกเขาถึงขั้นเตรียมโลงศพเอาไว้ให้หนีเฟิ่งแล้วด้วยซ้ำขอรับ นางมาจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ดังนั้นเมื่อนางสิ้นใจ นางจะต้องได้รับการฌาปนกิจในสถานที่ที่กำหนดไว้ ตอนนั้นท่านพ่อของข้าเปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแล้ว แต่ตระกูลหนีกลับส่งจดหมายมาบอกว่าอาการของหนีเฟิ่งกำลังดีขึ้น”
หลังจากฟังจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงถามต่อว่า ”เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากที่เจ้าจะเห็นศพพวกนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าต้องเป็นก่อนหน้านั้นขอรับ ตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไป และยังไม่ได้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรขอรับ ข้าจำได้เพียงรางๆ ว่าจะให้คนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรู้เรื่องการตายของพระชายาไม่ได้ ดังนั้นตระกูลหนีจึงปิดข่าวไว้เป็นอย่างดี แล้วกล่าวว่า พวกเขาจะบอกทุกคนก็ต่อเมื่อนางสิ้นใจแล้วจริงๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่กระทบจิตใจข้าที่สุดก็คือคำพูดที่หนีหู่บอกกับข้าระหว่างร้องไห้จนตัวสั่นขอรับ เขาดูมั่นใจอย่างมากว่าพี่สาวของเขากำลังจะตาย ไม่มีใครนึกภาพออกเลยว่าหนีเฟิ่งจะรอดมาได้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ”
“ไม่หรอก มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับเคลื่อนสายตาลง ”มีใครบางคนใช้อาคมต้องห้าม”
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นเบิกกว้าง ถ้าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มองเตือนเขาเอาไว้ก่อน เขาคงจะตะโกนออกมาแล้ว!
“อาคมต้องห้ามหรือ อาคมต้องห้ามอะไรขอรับ” จูเก่ออวิ๋นพยายามสะกดอารมณ์และเสียงของตัวเองสุดชีวิต แต่เขาก็ไม่สามารถซ่อนน้ำเสียงตกใจอันแจ่มชัดนั้นได้
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดอยู่ที่เขา ”ก็ศพน่ะสิ ศพพวกนั้นไม่ได้ปรากฏขึ้นที่ตระกูลหนีโดยไร้สาเหตุ พวกมันจะต้องมีบทบาทหน้าที่บางอย่างเช่นการคงสภาพศพอื่นเอาไว้ ตราบใดที่มีเลือดและเนื้อของศพเพียงพอ คนตายย่อมสามารถรักษาความสดใหม่เหมือนกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ภูตผีวิญญาณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนคนนั้นตายไปแล้ว เพราะมีศพของคนอื่นๆ ช่วยพรางตัวของนางอยู่”
“เว่ย พี่เว่ย ท่านหมายความว่าหนี หนีเฟิ่ง นาง…” จูเก่ออวิ๋นไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงสิ่งที่ตัวเองคาดเดา
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังคงเยือกเย็นเหมือนอย่างเคย ”หนีเฟิ่งน่าจะตายไปนานแล้ว นางไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าศพเป็นๆ”
“เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ ถ้านางเป็นศพ แล้วพลังวิญญาณของนางจะมาจากไหน” จูเก่ออวิ๋นรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก แต่ปฏิกิริยาแรกของเขาคือปฏิเสธมัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขากลับอย่างสบายๆ ”เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่ามันเป็นพลังวิญญาณ”
“ข้า…” จูเก่ออวิ๋นชะงัก เขามั่นใจได้อย่างไรว่ามันเป็นพลังวิญญาณหรือ ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนแต่เห็นๆ กันอยู่น่ะสิ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา น้ำเสียงของนางยังคงไม่เร่งรีบ แต่ก็สม่ำเสมอ ”ข้าจำได้ว่าคู่มือศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายกล่าวไว้ว่าวิญญาณเกิดจากปราณของศพที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี ในเมื่อศพเป็นวิญญาณสุดท้ายของมนุษย์ เช่นนั้นถ้ามันมีปราณมากพอ มันก็น่าจะสามารถสร้างพลังวิญญาณได้เหมือนกัน”
“นั่นก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหนีเฟิ่งเป็นศพนี่ขอรับ” จูเก่ออวิ๋นลูบแขนอันเย็นเฉียบของตัวเอง เขารู้สึกได้ถึงความเย็นจากก้นบึ้งของหัวใจได้ เพราะเขาไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน เขาจึงปฏิเสธที่จะยอมรับมันโดยสัญชาตญาณ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำลายความคิดของเขาเป็นชิ้นๆ อย่างใจเย็น ”เวลาที่เจ้าเข้าใกล้คนที่มีพลังวิญญาณมหาศาล เจ้าจะรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง เจ้ารู้สึกปลอดโปร่งในระหว่างเดินทางมาที่นี่หรือเปล่าล่ะ”
“นั่นเป็นเพราะพวกเราอยู่ในสุสานต่างหากล่ะขอรับ” จูเก่ออวิ๋นยังคงพยายามค้านต่อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วยิ้มออกมา ”เจ้ามองดูหนีหู่สิ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ จูเก่ออวิ๋นก็เคลื่อนสายตาไปมองทางหนีหู่จริงๆ
“ว่ากันว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาในสถานที่ที่อุดมไปด้วยพลังวิญญาณจะไม่ใช่คนเลวร้ายนัก ในเมื่อเจ้าสนิทสนมกับหนีหู่ และเจ้าทั้งสองต่างก็เกิดมาในตระกูลของผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ถ้าพี่สาวของเขามีพลังวิญญาณจริงๆ เจ้าคิดว่าตอนนี้เขาจะเป็นเช่นนี้หรือ ไม่ใช่แค่เขาจะขาดความสามารถในการขับไล่วิญญาณร้าย แต่จิตใจของเขาก็ยังชั่วร้ายอีกด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ ”ดูหน้าตาของสมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลหนีสิ พวกเขาทุกคนล้วนแต่ดูย่ำแย่ยิ่งนัก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายควรจะเป็น ข้าเคยคิดว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาอยู่ในสุสาน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงยังปกติสมบูรณ์ดี ทำไมเสี่ยวหลิงกับคนอื่นๆ ถึงยังปกติดีหรือ”
ทันใดนั้นจูเก่ออวิ๋นก็รู้ว่าคนตรงหน้าเขากำลังพูดความจริง
แต่เพราะมันเป็นความจริง มันจึงยิ่งยากที่จะยอมรับ
พวกเขาบูชาซากศพว่าเป็นพระชายามากว่าสิบปีเชียวหรือ ศพที่ว่านั่นไม่เพียงแต่จะไม่แสดงข้อบกพร่องใดๆ ให้เห็นเท่านั้น แต่มันยังเป็นที่รักของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งหมดอีกด้วย
แต่ไม่รู้ว่าทำไม จูเก่ออวิ๋นกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องศพเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นแผนการสมรู่ร่วมคิดครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นแผนการที่วางมาอย่างล้ำลึกเสียจนเขาเดาไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
ถ้าพี่เว่ยไม่พูดขึ้นมา เขาก็คงไม่มีวันได้รู้เรื่องนี้ไปตลอดชีวิต
ไม่ใช่แค่เขา แต่คนทั้งเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็คงยังเหมือนตกอยู่ในความมืด
ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายถูกปราณหยินรุกราน
นั่นไม่ได้เป็นการบอกเป็นนัยๆ หรือว่าโลกทั้งใบกำลังจะตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจ
เพราะมนุษย์ธรรมดาย่อมไม่มีทางแยกแยะมันได้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ราชวงศ์ทุกราชวงศ์บนแผ่นดินนี้จะต้องร่วมมือกัน แล้วออกประกาศให้เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทำการขับไล่ปีศาจ นี่เป็นข้อกำหนดที่มีมาตั้งแต่โบราณ
แต่ตอนนี้…
“ตระกูลหนีพยายามทำอะไรกันแน่ พวกเขาไม่รู้หรือว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร หากพวกเขาทำเช่นนี้!” จูเก่ออวิ๋นกำหมัด เขาไม่กล้าคิดถึงเรื่องนั้นจริงๆ
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเยือกเย็นดังเดิม ”คนส่วนมากในตระกูลหนีน่าจะไม่รู้เรื่องนี้ เพราะแม้แต่หนีหู่ก็ยังดูเหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำ ถ้าหนีหู่ไม่รู้ความลับนี้ ก็หมายความว่าคนเดียวที่รู้เรื่องก็คือหนีเปียวซึ่งเป็นผู้ลงมือ ไม่ว่าความตั้งใจเดิมของเขาจะเป็นอะไร แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาอย่างเห็นได้ชัด”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ” จูเก่ออวิ๋นไม่เข้าใจประโยคสุดท้าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่เขา ”เจ้ากลับมาถึงก่อนพวกข้า เจ้าไม่สังเกตหรือว่าหนีเปียวไม่ได้อยู่ที่นี่”
จูเก่ออวิ๋นชะงักไปเพราะเขาไม่ได้สังเกตจริงๆ เขามัวแต่ห่วงความปลอดภัยของคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า เขาเป็นห่วงพวกเขามากจนแทบเสียสติ และไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว…