องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 790 ทรมานหนีเฟิ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังไม่ปล่อยเขา เขาใช้เท้าถีบตัวขึ้นไปในอากาศ จากนั้นจึงคว้าเข้าที่คอของอีกฝ่ายแล้วผลักร่างของเขาไปข้างหน้าอย่างแรง การปะทะกันนั้นทำให้แผ่นหลังของหนีเปียวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกหินอันแหลมคมบาด เขาแทบจะขยับตัวไม่ได้เมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลเช่นนี้
ในเวลาเดียวกันนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเพียงกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนหัวเราะใส่หูของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ราวกับปีศาจในความฝัน ”รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปล่อยให้เจ้าลงมือก่อนทั้งที่ข้าสามารถจัดการเจ้าได้ในลูกเตะเดียว อย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้ากลายร่างเป็นสัตว์อสูร เช่นนั้นข้าจะเตือนให้เจ้ารู้ก็แล้วกันว่าทันทีที่เจ้าผลาญพลังวิญญาณของตัวเองจนหมด มันก็ยิ่งง่ายต่อการที่เจ้าจะเปิดเผยร่างจริงของตัวเองออกมา เหมือนเช่นที่เจ้าเป็นอยู่ในเวลานี้…”
นัยน์ตาของหนีเปียวหดตัวทันทีที่ได้ยินเช่นนี้
”อั๊ก! อ๊าก! เจ้าไม่ใช่สัตว์อสูร! เจ้ามัน… เจ้ามันเป็นปีศาจ!”
”ใช่ ข้าเป็นปีศาจ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปั้นยิ้ม ดวงตาเย็นชาของเขาลึกล้ำและเปล่งแสงสีทอง ”และยังเป็นปีศาจที่สามารถดึงแก่นชีวิตของเจ้าออกมาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”
โครม!
เสียงอะไรบางอย่างกระแทกหินจนแตกดังก้องไปทั่วอากาศอีกครั้ง
ในเวลานั้น สิ่งที่อยู่ในสมองของหนีเปียวมีแต่เพียงความเสียใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
เขาจงใจทำเช่นนี้! เขาจงใจให้ข้าดวลกับเขาเพื่อให้ข้าเผยด้านที่อัปลักษณ์ที่สุดของตัวเองออกมาในภายหลัง!
แต่ต่อให้เขาจะเป็นปีศาจ เขาก็ไม่น่าจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้หลังจากถูกกระบี่นับหมื่นเล่มเล่นงาน!
นอกเสียจากพลังวิญญาณของชายคนนี้จะแข็งแกร่งพอที่จะสยบแสงแห่งพระพุทธคุณได้!
มีปีศาจพรรค์นั้นอยู่บนโลกด้วยหรือ
ขณะที่ร่างของเขาล้มลง หนีเปียวก็อดถามตัวเองเช่นนั้นไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะหาคำตอบ แขนขาทุกข้างของเขาถูกแยกออกจากร่าง เวลานี้เขาเป็นอัมพาตไปแล้วทั้งตัว
ในอุโมงค์แห่งนี้ ไม่มีใครได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขา
เช่นนั้นย่อมหมายความว่าจะไม่มีใครได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของชายผู้นี้
สุดท้ายหนีเปียวจึงตระหนักได้ว่าจุดจบของเขามาถึงแล้ว สิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่คือความจริงอันโหดร้ายเรื่องนี้ขณะที่เขากำลังจะสิ้นใจเท่านั้น
เมื่อเห็นผนังหินที่ถูกกระแทกจนเป็นรู จูเก่ออวิ๋นก็ถึงกับอ้าปากค้าง เขาถามเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างอึ้งๆ ว่า ”นี่ยังนับว่าเป็นการดวลได้อยู่หรือขอรับ มันเป็นการทำร้ายกันอยู่ฝ่ายเดียวมิใช่หรือ พี่เจวี๋ยยกหนีเปียวขึ้นง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร เขาเป็นแมงมุมเชียวนะขอรับ!”
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังฉาบไปด้วยสีหน้าอันเฉยชา ขณะเอ่ยตอบคำถามนั้นอย่างไม่แยแสว่า ”ครั้งหนึ่งเขาเคยไปแถวๆ ชายทะเลแล้วก็จับมังกรกลับมาได้ด้วยมือเดียว มิหนำซ้ำยังเลาะเอ็นของมังกรออก แล้วแบกกลับมาให้น้องชายกินอีกด้วย” นางได้ยินเรื่องนี้มาจากเจ้าเจ็ด สมัยนั้นนางมักจะคิดอยู่เสมอว่าองค์ชายที่สามารถทำเช่นนี้ได้อย่างสบายๆ จะต้องไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน!
จูเก่ออวิ๋น : …
”ท่านบอกข้ามาเถอะขอรับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ใช่ไหม!” หายากนักที่จูเก่ออวิ๋นจะกระตือรือร้นในการหาคำตอบเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสายตาคาดหวังของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่รอบๆ แล้วโกหกหน้าตายว่า ”เปล่าเลย เขาเป็นมนุษย์จริงๆ แต่เพียงแค่กินมังกรมากเกินไปเท่านั้น เพราะอย่างนั้นเขาถึงมีพละกำลังมากอย่างที่เห็นในตอนนี้”
ทันทีที่นางพูดจบ องค์ชายผู้สูงศักดิ์และสง่างามก็เดินกลับมาอย่างสบายๆ พร้อมกับลากครึ่งคนครึ่งแมงมุมกลับมาด้วย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มขอโทษขอโพยว่า ”ขอโทษที ข้าสนุกมือเกินไปหน่อยจนลืมว่าพวกเราจำต้องให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมืออาชีพเป็นผู้จัดการกับปีศาจ” ระหว่างพูดเช่นนั้นเขาก็หันไปมองหนีหู่ที่หน้าซีดอยู่ตรงนั้น ก่อนจะยิ้มออกมา ”นายน้อยหนี ข้ามั่นใจว่าท่านพ่อของเจ้าได้กลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์แล้ว ในฐานะสมาชิกของตระกูลหนี หน้าที่ของเจ้าคือการรักษาสันติสุขและผดุงความยุติธรรมของแผ่นดิน ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าเจ้าจะสามารถสละความสัมพันธ์ทางสายเลือดของตัวเองเพื่อแลกกับความยุติธรรมได้หรือไม่”
”อ๊าก!”
ทีแรกหนีเปียวคิดว่าสภาพอัปลักษณ์ของเขาเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้ว!
แต่ตอนนี้ ผู้ชายคนนี้กลับยุให้บุตรชายของเขาฆ่าเขา!
เขาตั้งใจจะทำลายล้างตระกูลหนีทั้งตระกูลเลยหรือ
”อาจารย์หนีไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าแต่อย่างใด ข้ารู้ว่าคนเช่นท่านย่อมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ และสร้างความเสียหายให้กับแผ่นดินนี้อย่างแน่นอน จริงหรือไม่ ท่านคงตายตาหลับหากได้ตายด้วยมือของคนในครอบครัว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อตัวลงมองหนีเปียว เขาดูเข้าอกเข้าใจอีกฝ่ายอย่างมาก!
หนีเปียวโมโหจนอวัยวะของเขาปวดร้าวไปหมด แต่เพราะลิ้นที่ถูกตัด เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว!
แต่คราวนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ”บางทีภารกิจนี้ควรเป็นหน้าที่ของคุณหนูหนีผู้เป็นพระชายากลับชาติมาเกิด”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็หันไปจับจ้องที่หนีเฟิ่ง
ต่างจากหนีหู่ นางเอ่ยตอบอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับจะร้องไห้ว่า ”ท่านพ่อ ท่านทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านกลืนแก่นชีวิตเข้าไปได้อย่างไร ท่านดูตัวเองในเวลานี้สิเจ้าคะ ท่านจะยังสามารถนำผู้คนปกป้องความดีและขับไล่ความชั่วร้ายได้อย่างไร”
สติปัญญาของหนีเปียวเข้าใจความหมายของสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้คำพูดของนางได้ทันที
บุตรสาวของเขา
บุตรสาวที่เขาเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมและความรักอันยิ่งใหญ่กำลังคิดที่จะ… ทอดทิ้งเขาหรือ
”เวลานี้ ข้าทำได้เพียงแค่ต้องผดุงความยุติธรรมเท่านั้นเจ้าค่ะ” หนีเฟิ่งปิดปาก แล้วรวบรวมพลังของตัวเอง นางไม่เปิดโอกาสให้หนีเปียวได้มีปฏิกิริยา และเล็งตรงไปที่ลำคอของเขาทันที!
ความเจ็บปวดทรมานก่อนตายทำให้หัวใจของหนีเปียวเย็นเป็นน้ำแข็งขณะที่เขาพยายามยื่นมือออกไป
แต่ทั้งหมดที่เขาเห็นกลับมีแต่เพียงรอยยิ้มชั่วร้ายของชายหนุ่ม เขาดูเหมือนกำลังบอกว่า นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องชดใช้จากการทำร้ายสิ่งสำคัญที่สุดของข้า
คนที่อยู่ใต้เท้าของเขาหยุดหายใจไปแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรบมือเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสราวกับหยกว่า ”พระชายากลับชาติมาเกิดผู้นี้สามารถฆ่าได้กระทั่งบิดาแท้ๆ ของตัวเองเชียว ช่างเป็นภาพที่เปิดหูเปิดตาให้กับข้ายิ่งนัก”
คนที่มีปฏิกิริยาคนแรกกับเรื่องนี้ไม่ใช่หนีเฟิ่ง แต่เป็นหนีหู่ เขาปรี่เข้าไปหาหนีเฟิ่งแล้วคว้าแขนของนางไว้ และร้องไห้เสียงดัง ”ทำไมล่ะขอรับ! ท่านพี่ ทำไมท่านถึงทำเช่นนั้น! นั่นเป็นท่านพ่อของพวกเรานะขอรับ!”
หนีเฟิ่งหายใจเข้าลึก นางเพิ่งตระหนักได้ว่านางตกหลุมพรางเข้าอย่างจัง และยังเป็นหลุมพรางที่พวกเขาวางเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย!
ไม่ นางจะตื่นตระหนกไม่ได้เด็ดขาด!
”เจ้าคิดว่าข้าอยากทำหรือ” หนีเฟิ่งเริ่มร้องไห้ นางไอเสียงดัง จากนั้นจึงยกมือขึ้นตีตัวเองหลายครั้ง ”เจ้าดูสิว่าท่านพ่อกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว เขาเป็นชายผู้ใจกว้างมาทั้งชีวิต แต่เขากลับต้องทำให้ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เพียงเพราะบังเอิญกินแก่นชีวิตเข้าไป ข้าสังหารเขาก็เพื่อปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระต่างหาก!”
ดวงตาของหนีหู่แดงก่ำ ”ท่านพี่ ท่านพี่ขอรับ คนที่ข้าใจเจตนาของท่านผิดคือข้าเอง ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย ท่านเป็นพระชายา ท่านทำเช่นนั้นก็เพราะไม่มีทางเลือก ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของทั้งสอง ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็รู้สึกสงสาร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหลงเชื่อในข้ออ้างของหนีเฟิ่ง
หนีเฟิ่งหลุบตาลง แล้วมองไปยังผู้คนที่อยู่โดยรอบ จากนั้นจึงยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างอ่อนแรง
ตอนนั้นเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยที่เงียบมานานจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ”ถ้าเจ้ามีเจตนาที่จะปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจริง เช่นนั้นเจ้าก็ควรที่จะเอาแก่นชีวิตออกจากร่างของเขา และใช้พลังวิญญาณของเจ้าฟื้นสติให้กับเขาเสีย หรือไม่ก็ใช้บทสวดพระพุทธคุณขับไล่ปีศาจร้ายเพื่อกำจัดพลังปีศาจที่อยู่ในตัวเขา แต่เจ้าเล็งไปที่ลำคอของเขาและฆ่าเขาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หายใจเลยด้วยซ้ำ คุณหนูหนี ชายที่เจ้าสังหารไปเป็นบิดาของเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดาที่เดินผ่านไปผ่านมา แม้น้องชายของเจ้าจะรักสนุกและยังมีความเป็นผู้ใหญ่ แต่เขาก็ยังมีความเป็นมนุษย์ ในขณะเดียวกัน เจ้ากลับต้องการแก้ปัญหานี้ให้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อรักษาชื่อเสียงในฐานะพระชายาของตัวเองเอาไว้…”