องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 796 ได้พระสรีระมาไว้ในมือ
เมื่อปีศาจตัวน้อยเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาก็รู้สึกสงสารผู้เป็นนายขึ้นมาเป็นครั้งแรก
แม้ผู้เป็นนายของเขาจะทุ่มเทความพยายามให้นางอย่างมหาศาล แต่นางก็ไม่ได้ชื่นชมในการกระทำนั้น ซ้ำยังเอาแต่คิดถึงผู้ชายอีกคน
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง
ตามมาด้วยแผ่นดินไหวระลอกที่สาม
หินร่วงกราวลงมาพร้อมกับสุสานโบราณแห่งนั้น
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ยังยากจะปักหลักยืนได้อย่างมั่นคง
แต่พวกเขายังมีความท้าทายอื่นรออยู่
บนเส้นทางสายนี้มีชายสองหน้ายืนอยู่
ใบหน้าด้านหนึ่งของเขาเป็นใบหน้าของพระโคตมพุทธเจ้า
ส่วนใบหน้าด้านหลังนั้นเป็นใบหน้าของพระโพธิสัตว์
ใบหน้าของพระโคตมพุทธเจ้าเปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อทุกสรรพชีวิต
ตรงกันข้าม คิ้วของพระโพธิสัตว์กลับขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ชายสองหน้านั่งสมาธิอยู่พร้อมกับลูกประคำในมือ แม้ภายในสุสานจะมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง แต่เขาก็ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง
ข้างกายเขาคือพระสรีระที่สว่างเรืองรองไปด้วยแสงแห่งจิตวิญญาณ
พระสรีระไม่ได้มีชิ้นเดียว แต่มีถึงสามชิ้นด้วยกัน!
ดวงตาสีทองของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาขณะมองไปที่ชายสองหน้าคนนั้น เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูคุ้นหน้าอย่างอธิบายไม่ถูก
”เกิดอะไรขึ้น มีพระสรีระถึงสามชิ้นได้อย่างไร” จูเก่ออวิ๋นรู้สึกสับน
ผู้เฒ่าหลี่พูดด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า ”เราจะต้องเลือกให้ถูก พระสรีระของจริงจะทำลายตัวเองทันทีที่เราเลือกผิด ตำนานเป็นความจริง ว่ากันว่าก่อนท่านปรมาจารย์ซิวหมอจะถึงแก่กรรม เขาได้มอบบททดสอบของพระโคตมพุทธเจ้าไว้ให้กับมนุษย์เพราะต้องการให้มนุษย์ได้เลือก ในขณะเดียวกันนั้น วิญญาณของเขาก็ได้กลายเป็นผู้คุ้มกันพระสรีระ ก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป ครั้งหนึ่งเขาเคยทำนายไว้ว่าจะมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการพระสรีระของเขา แต่เขาจะรอแต่เพียงผู้ที่พระพุทธเจ้าลิขิตมาให้เท่านั้น”
”พูดสั้นๆ ก็คือ พวกเราต้องเลือกพระสรีระหนึ่งในสามใช่หรือไม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยสาวเท้าเข้าไปในสุสานหลัก แล้วสำรวจพระสรีระใกล้ๆ ก่อนจะถามอย่างรวบรัดว่า ”ไม่มีคำใบ้เลยหรือ”
ชายสองหน้าหัวเราะ ”แน่นอนว่ามี เจ้าสามารถถามคำถามกับข้าได้สามคำถามเพื่อตัดสินใจว่าพระสรีระชิ้นใดเป็นของจริง แต่มีบางอย่างที่เจ้าต้องรู้เอาไว้ ข้ามีสองหน้า หน้าหนึ่งพูดความจริง ส่วนอีกหน้าหนึ่งพูดโกหก ดังนั้นคำใบ้นั้นอาจจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้ เจ้าต้องวิเคราะห์มันด้วยตัวเอง ถ้าเจ้าทายผิด พระสรีระจะทำลายตัวเอง และจะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง ว่าอย่างไร เจ้าอยากทายดูหรือไม่”
”ถ้าคำใบ้ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เช่นนั้นเราจะใช้คำใบ้เหล่านั้นในการทายได้อย่างไร” ในที่สุดจูเก่ออวิ๋นก็ตั้งสติได้ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอากาศ
กระบี่ไม้ท้อบนหลังของเหล่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายส่งเสียงดังเป็นสัญญาณบอกถึงการมาเยือนของปีศาจ
จูเก่ออวิ๋นหันไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย ”พี่เว่ย พวกเราต้องรีบออกไปจากสุสานหลวงเดี๋ยวนี้ขอรับ พวกเขาทำพิธีฟื้นคืนชีพเสร็จแล้ว ดังนั้นเวลานี้พระสรีระแทบไม่มีประโยชน์อันใดอีก ในไม่ช้าพวกเราจะถูกปีศาจล้อม และปราณแห่งความชั่วร้ายจะทะลักออกมาจากสุสาน ท่านจะตายอยู่ที่นี่เพราะท่านไม่มีพลังวิญญาณปกป้องขอรับ…”
”ข้าต้องเอาพระสรีระกลับไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทจูเก่ออวิ๋น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ บ่งบอกถึงเจตนาอันชัดเจน ”เจ้าออกไปพร้อมกับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็แล้วกัน อย่าลืมพาผู้เฒ่าหลี่ไปด้วย หลังจากได้พระสรีระมาแล้วข้าจึงจะไปพบเจ้า”
จูเก่ออวิ๋นลังเล ”แต่…”
”ฮูหยินจูเก่อยังรอเจ้าอยู่ที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย ”อย่าลืมสิ่งที่ผู้เฒ่าหลี่พูดเมื่อครู่นี้ เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะต้องอยู่ในอันตรายทันทีที่สุสานแห่งนี้พังทลายลง อีกอย่างหนึ่ง พวกหนีเฟิ่งก็คงจะกลับไปที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอย่างแน่นอน ถ้าเจ้ากลับไปตอนนี้ เจ้าย่อมสามารถปกป้องฮูหยินจูเก่อได้”
จูเก่ออวิ๋นมองเฮ่อเหลียนเวยเวย เขารู้ว่าเขาคงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมนางได้ เขาจึงกัดฟันแล้วเอ่ยว่า ”พวกเราจะรอท่านและพยายามยับยั้งปราณแห่งความชั่วร้ายไว้ขอรับ ครึ่งก้านธูป ถ้าท่านยังนำพระสรีระกลับมาไม่ได้ภายในเวลาครึ่งก้านธูป พวกเราจะกลับไปที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายด้วยตัวเอง”
”ตกลง” อย่างไรเฮ่อเหลียนเวยเวยก็จำเป็นต้องให้คนที่มีพลังวิญญาณช่วยยับยั้งการรุกรานของปราณแห่งความชั่วร้าย แม้องค์ชายจะสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่มีพลังวิญญาณ
ทางที่ดีที่สุดคือการให้บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายซื้อเวลาให้กับนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านางไม่อาจให้ลูกๆ ของนางแปดเปื้อนปราณแห่งความชั่วร้ายได้ มิฉะนั้นพวกเขาจะกลายร่างเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์
นางจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเรียกสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะหลับตาลง แล้วตั้งใจคิดถึงคำพูดของชายสองหน้า
นางได้รับอนุญาตให้ถามได้สามคำถาม
มันฟังดูชวนให้สับสนทีเดียว แต่ถ้านางถามว่าพระสรีระแต่ละชิ้นจริงแท้แค่ไหน นางก็อาจจะพอเดาออกว่าพระสรีระชิ้นไหนที่เป็นของจริง
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะโกหกเช่นกัน
ความคลุมเครือนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ขัดขวางการตัดสินใจของนางอย่างแน่นอน
ถ้าพระสรีระชิ้นแรกที่นางเลือกเป็นของจริง แต่นางโชคร้ายได้สนทนากับใบหน้าที่พูดโกหก เช่นนั้นคำตอบที่นางจะได้รับก็คือคำโกหก
ไม่เพียงแต่นางจะเสียคำถามไปเปล่าๆ แต่กระบวนการทั้งหมดก็จะยิ่งทวีความวุ่นวายมากขึ้นอีกด้วย สุดท้ายนางก็จะเลือกผิด และพระสรีระของจริงก็จะทำลายตัวเอง
ดังนั้นถ้านางต้องการหาว่าพระสรีระชิ้นไหนเป็นของจริง นางจะต้องก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปให้ได้เสียก่อน!
ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของนางเป็นประกายเมื่อคิดอะไรขึ้นได้ นางต้องหาให้เจอว่าใบหน้าด้านไหนที่พูดความจริง และด้านไหนที่พูดโกหก
”ข้าจะถามเดี๋ยวนี้!” นางมองชายสองหน้าด้วยสีหน้าใสซื่อ
ชายสองหน้าหัวเราะ แล้วตอบว่า ”ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าไม่เคยพบคนที่ตรงไปตรงมาเช่นเจ้ามาก่อน เจ้าไม่ต้องการเวลาพิจารณาการตัดสินใจเพิ่มสักนิดหรือ”
”ไม่จำเป็น” ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเยือกเย็นดังเดิม แต่นางไม่สามารถซ่อนแสงระยิบระยับในดวงตาของนางได้
หลังจากที่นางตัดสินใจรับคำท้านี้ ชายสองหน้าก็หันกลับมา แล้วใช้ใบหน้าอ่อนโยนของพระโคตมพุทธเจ้ามองมาที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”เช่นนั้นจงถามคำถามแรกมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ยืนร่ายอาคมอยู่ข้างนาง จากนั้นจึงชี้ไปที่จูเก่ออวิ๋นแล้วถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”เขาเป็นมนุษย์หรือเป็นปีศาจ”
ทุกคนถึงกับงงเมื่อได้ยินคำถามนั้น
ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่จูเก่ออวิ๋น
จูเก่ออวิ๋นที่ยังพยายามร่ายอาคมอยู่มองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความสับสน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ลุกโชติช่วงแล้วจึงถามเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างหัวเสียว่า ”พี่เว่ย ท่านสงสัยข้าหรือขอรับ ท่านคิดว่าข้าทำตัวแปลกๆ หรือ ข้าสาบานเลยก็ได้ขอรับว่าข้าไม่ได้เป็น!”
”ข้ารู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างแฝงความนัยราวกับนางกำลังวางแผนอะไรอยู่ ”ข้าถามเช่นนี้เพราะข้าไม่เคยสงสัยเจ้า”
จูเก่ออวิ๋นจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาถึงกับพูดไม่ออก ”พี่เว่ย ท่านมีโอกาสถามได้เพียงแค่สามคำถาม แต่ท่านกำลังเสียคำถามแรกไปโดยเปล่าประโยชน์นะขอรับ!”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนคิดว่าคำถามแรกของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นไร้สาระเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะอธิบาย แทนที่จะทำเช่นนั้น นางกลับจ้องมองใบหน้าอันสงบของพระพุทธเจ้า ”คำตอบของท่านคืออะไร”
เห็นได้ชัดว่าพระโคตมพุทธเจ้าคาดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะถามคำถามนี้กับเขา เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ปีศาจ”
”ดีมาก” ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเมื่อแผนการของนางได้ผล ”ข้าเข้าใจแล้ว”
ใบหน้าของพระโคตมพุทธเจ้าพูดโกหก
เช่นนั้นใบหน้าของพระโพธิสัตว์ย่อมพูดความจริง!
ทันทีที่พวกเขาได้ยินคำตอบ ทุกคนก็เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำถามของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ทันที
นางพยายามพิสูจน์ว่าใบหน้าไหนที่พูดความจริง และใบหน้าด้านไหนที่พูดโกหก
นางช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!
นางต้องเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ผิดแน่!