องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 797 กลืนพระสรีระ
เหล่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในปัจจุบันของตัวเองออกมาเป็นคำพูดได้
พวกเขามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนชื่นชม
ผู้เฒ่าหลี่ตื่นเต้น หลายร้อยปีแล้วแต่ก็ไม่มีใครเอาอะไรออกไปจากสุสานหลวงแห่งนี้ได้แม้แต่ชิ้นเดียว แล้วนับประสาอะไรกับพระสรีระของภิกษุรูปนี้
คนที่มีความสามารถพอที่จะทำเช่นนี้ได้มีเพียงแค่พระชายาคนเดียวเท่านั้น
อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ผู้เฒ่าหลี่เคยคิด
แต่ตอนนี้… สายตาของผู้เฒ่าหลี่กลับจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
นางถามคำถามที่สองขึ้นสั้นๆ อย่างไม่ลังเลว่า ”ดีมาก เช่นนั้นพระสรีระชิ้นแรกเป็นของจริงหรือของปลอมหรือ”
หนนี้ ใบหน้าที่หันมาหาเฮ่อเหลียนเวยเวยคือใบหน้าของพระโพธิสัตว์ที่คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาฟังดูแตกต่างจากพระโคตมพุทธเจ้าระหว่างที่ตอบว่า ”ของปลอม”
พระโพธิสัตว์พูดความจริง ดังนั้นสิ่งที่นางต้องทำก็คือการยืนยันพระสรีระที่เหลืออีกสองชิ้นเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ก่อนจะชี้ไปที่พระสรีระชิ้นที่สอง ”แล้วชิ้นนี้ล่ะ”
”เป็นของจริง” พระโคตมพุทธเจ้าหันมามองนางด้วยสีหน้าราบเรียบดังเดิม ”โยม คำถามทั้งสามข้อได้รับคำตอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บัดนี้โยมต้องตัดสินใจเลือกแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ แล้วมองเข้าไปในดวงตาของพระโคตมพุทธเจ้า ”ข้าเลือกพระสรีระชิ้นที่สาม”
”โยมมั่นใจหรือ อาตมาบอกแล้วว่าพระสรีระชิ้นที่สองเป็นของจริงมิใช่หรือ” พระโคตมพุทธเจ้าพึมพำว่าอมิตาพุทธ ก่อนจะส่ายหน้า ”แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”
”ข้าขอยืนยันว่าข้าจะเลือกชิ้นที่สาม ส่งพระสรีระมาได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ท่าทางของนางกลับทรงอำนาจ
”ดูเหมือนโยมจะมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองอย่างมาก” พระโคตมพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ยิ้มให้เฮ่อเหลียนเวยเวยหลังจากเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของนาง
ร่างของชายสองหน้าลอยขึ้นไปในอากาศ พร้อมกับดินและฝุ่นที่ลอยคลุ้งเป็นวงอยู่ท่ามกลางสายลม แสงแห่งพระพุทธคุณที่ราวกับจะสามารถสัมผัสทุกสรรพสิ่งบนผืนโลกแผ่ออกมาจากร่างของชายสองหน้า ก่อนจะฉายลงบนร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย เสื้อสีขาวและชุดคลุมสีเขียวของนางกลายเป็นสีทองส่องสว่างเมื่ออยู่ใต้แสงแห่งพระพุทธคุณนี้ มันเหมือนกับพิธีราชาภิเษกไม่มีผิด เสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังก้องไปทั่วทั้งสุสานพร้อมกับแสงอาทิตย์อันเงียบสงบและอบอุ่นที่อาบไล้ไปทั่วร่างของพวกเขา
”อาตมารอมานานหลายร้อยปี และแล้วในที่สุดก็ได้พบผู้ที่ชะตาฟ้าลิขิต แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนรู้จักเก่าเสียได้ ฮ่าๆ สมัยนั้นเจ้ายังแฝงตัวมาที่โลกมนุษย์พร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุ ตอนนี้เห็นทีคงได้เวลาที่ข้าต้องคืนพระสรีระชิ้นนี้ให้กับเจ้าแล้ว อมิตาพุทธ”
ทันทีที่พูดจบ ชายสองหน้าก็ล้มลง
พระสรีระที่เปล่งประกายด้วยแสงแห่งพระพุทธคุณตกลงมาบนมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย
มีคำพูดหลายส่วนของเขาที่นางไม่เข้าใจ
เขาหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่านางแฝงตัวมาที่โลกมนุษย์พร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุ
ทำไมนางถึงเป็นสหายเก่าของเขาได้
มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่จะสามารถใช้อธิบายคำพูดของเขาได้ นั่นก็คือเรื่องที่ว่าในอดีตชาติ นางเคยรู้จักกับพระภิกษุรูปนี้มาก่อน
แต่อย่างไรเรื่องพวกนั้นก็ไม่สำคัญ เพราะนางได้พระสรีระมาไว้ในมือแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลืนพระสรีระที่อยู่ในมือลงคอโดยแทบไม่ลังเล
เวลานี้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในแม่น้ำอันเชี่ยวกรากต่างกลับมามีชีวิต และพยายามแหวกว่ายออกจากแม่น้ำสายนั้น
ระฆังของวัดหลิงอิ่นดังขึ้นเป็นครั้งที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า
ดอกบัวสีทองบานสะพรั่งอยู่ภายใต้แสงแห่งพระพุทธคุณ
วิญญาณร้ายทุกดวงในยมโลกทิ้งกรงเล็บลงราวกับถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกมันไม่สามารถระงับความชั่วร้ายในดวงตาสีแดงของตัวเองได้
”พระสรีระที่อยู่ในสุสานหลวงก็ถูกชิงไปเหมือนกันหรือ” ราชาแห่งนรกชะงักฝีเท้า เมื่อมองจากด้านข้าง ใบหน้าของเขาดูงดงามแต่ก็เย่อหยิ่ง ใบหน้านั้นแฝงไปด้วยความเหยียดหยามยามเมื่อต้องแสงไฟจากเพลิงนรก ”น่าสนใจจริงๆ”
ผู้พิพากษาวิญญาณเอ่ยตะกุกตะกักอย่างหวาดกลัวว่า ”นาย… นายท่านขอรับ.. องค์… องค์ชาย เขา…”
”หนีไปอีกแล้วหรือ” ราชาแห่งนรกเยาะ ”ช่างเขาเถอะ ส่วนเจ้า จัดการเก็บเอกสารที่ลับที่สุดของนรกไว้ให้ดี อย่าให้ใครได้เห็นมันเด็ดขาด โดยเฉพาะเจ้าคนที่มันชอบมาก่อเรื่องในยมโลกของเราอยู่บ่อยๆ”
ผู้พิพากษาวิญญาณถามด้วยความประหลาดใจว่า ”ท่านหมายถึงบันทึกของเทียนเต๋ากับพุทธศาสนาเมื่อหนึ่งพันปีก่อนหรือ”
”ใช่” ราชาแห่งนรกหัวเราะ มุมปากของเขาแฝงไปด้วยความชั่วร้าย ”เจ้าคิดว่าคนคนนั้นจะทำอะไรหากเขาฟื้นความทรงจำที่อยู่ในเทียนเต๋าขึ้นมาได้”
ผู้พิพากษาวิญญาณสำรวจมองรอบตัว ก่อนที่จะเอามือเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากแล้วตอบว่า ”ไม่… ไม่รู้ขอรับ”
สมัยนั้น ชายคนนั้นตกจากสวรรค์และกลายร่างเป็นปีศาจ
ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้
แต่ ศาสนาพุทธ และลัทธิเต๋าไม่อนุญาตให้มีความรัก
มันเป็นเคราะห์สวรรค์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดสอบว่าชายคนนี้จะสามารถต้านทานมันได้หรือไม่
แต่ชายคนนี้กลับไม่สนใจเคราะห์สวรรค์ที่ว่านี้เลยแม้แต่น้อย
ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้
เขาจะสังหารทุกคนที่ขัดขวางเขา ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นปีศาจหรือเทพก็ตาม
แท้จริงแล้ว ที่เขาตกจากสวรรค์ก็เพราะเขาเนรเทศตัวเอง…
ครืน!
เสียงดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วอากาศเป็นครั้งสุดท้าย
สะพานข้ามแม่น้ำไน่เหอของยมโลกเริ่มสั่นน้อยๆ
สิ่งที่ตามมาหลังจากแผ่นดินไหวคือพื้นที่เกือบครึ่งของสุสานหลวงที่ยุบหายเข้าไปในภูเขา ส่งให้ก้อนหินและฝุ่นจำนวนมากลอยขึ้นในอากาศ
หนีเฟิ่งมองภาพที่เกิดขึ้นก่อนจะซ่อนใบหน้าของตัวเองไว้กับแผ่นอกอันเต็มไปด้วยกลิ่นธูปของชายหนุ่ม
มันคือกลิ่นนี้นี่เอง
สมัยที่นางยืนอยู่เบื้องหน้าพระโคตมพุทธเจ้า กลิ่นนี้คือกลิ่นที่นางคุ้นเคยที่สุด
ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าคนที่จำเรื่องนี้ได้จะมีแค่ข้าเพียงคนเดียว
มันเป็นเรื่องเมื่อนานแสนนานมาแล้ว…
ต้นโพธิ์เอ๋ยต้นโพธิ์ ตอนแรกนั้นเจ้าไม่มีแม้กระทั่งหัวใจด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับตกหลุมรักคนที่คอยดูแลเจ้า
อนิจจา คนคนนั้นกลับไม่เคยรู้ใจเจ้า เพียงเพราะเรื่องตลกไร้สาระเช่นนี้ เจ้าจึงได้เคียดแค้นนาง
ดังนั้นข้าจึงใจร้อนและรีบฉวยโอกาสปลอมตัวเป็นนาง!
แต่…
หนีเฟิ่งคว้าแขนเสื้อยาวของเขาแน่นพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขา ”อู๋ซวง ทำไมเราถึงไม่ยึดร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยตามแผนการเดิมที่วางเอาไว้หรือ” แต่กลับเลือกร่างนี้มาแทน! ร่างนี้เป็นร่างเดิมของนางไม่ผิดแน่ แต่นางอยากแทนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยโดยสมบูรณ์ มีแต่การขัดขืนโชคชะตาเท่านั้นที่จะทำให้นางได้เป็นพระชายาตัวจริง จากนั้น… นางถึงจะได้ผู้ชายคนนั้นมา!
นิ้วเรียวยาวของจิ่งอู๋ซวงหยุดเคลื่อนไหว ก่อนเขาจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า ”อย่างไรท่านก็กลับมาแล้ว”
”เมื่อครู่นี้เจ้าลังเลหรือ” หนีเฟิ่งยิ้มน้อยๆ ดวงตาของนางเป็นประกาย ”หายากจริงๆ ที่จะเห็นเจ้าห่วงใยคนอื่นที่ไม่ใช่ข้า เฮ้อ อู๋ซวงของเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ เจ้าไม่ใช่ต้นโพธิ์ต้นน้อยที่ข้าเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหนีเฟิ่ง จิ่งอู๋ซวงก็นึกถึงความทรงจำอันงดงามของตัวเองขึ้นมาได้ ริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ปีศาจตัวน้อยที่มองเขาอยู่ข้างๆ รู้สึกได้ถึงความสุขที่เขาตามหามาตลอด
มันได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากผู้เป็นนายมามากเกินไป
เพื่อให้พระชายากลับมา…
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือผู้เป็นนายของเขาทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อพาคนคนนั้นกลับมาต่างหาก
ยกตัวอย่างเช่นตอนที่คนคนนั้นถอดใจในพระพุทธศาสนา และเลือกที่จะดับลมหายใจของตัวเอง ผู้เป็นนายของเขาใช้ร่างต้นโพธิ์รับเคราะห์กรรมสวรรค์ครั้งสุดท้ายแทนคนคนนั้น
ด้วยเหตุนั้นพระชายาถึงไม่ได้ถูกเนรเทศออกจากภพภูมิทั้งหก และยังสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้
พวกเขาตามหานางมาเป็นเวลาห้าร้อยปี
พวกเขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าไปเยี่ยมเยือนวัดมาแล้วกี่แห่ง
แม้จะผ่านการคุกเข่าคำนับขึ้นเขามาแล้วมากมาย แต่เขาก็ไม่เคยปรารถนาที่จะได้พบนางอีกครั้ง
เขาเพียงหวังจะได้เบาะแสหรือที่อยู่ของนางเท่านั้น
ในที่สุดก็มีคนเรียกชื่อเขาผ่านป่าไผ่พวกนั้น
ปีศาจตัวน้อยไม่เคยเห็นสีหน้ายินดีเช่นนี้บนใบหน้าของผู้เป็นนายมาก่อน
โชคร้ายที่คนคนนั้นไม่เคยรู้ในสิ่งที่ผู้เป็นนายทำเพื่อนางเลยแม้แต่นิดเดียว
นางไม่รู้เลยว่าเขารับเคราะห์สวรรค์แทนนาง ทิ้งวาสนาทางพระพุทธศาสนาของตัวเอง และแลกเปลี่ยนชีวิตทั้งเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชีวิตของตัวเองเพื่อให้นางได้เกิดใหม่
ไม่มีใครรู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่คนเดียว…