องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 798 กรรมจากชาติก่อน
ปีศาจตัวน้อยทำตาโตก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือขึ้นไปกระตุกแขนเสื้อของจิ่งอู๋ซวงโดยไม่รู้ตัว
หนีเฟิ่งสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของปีศาจตัวน้อยเช่นกัน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร
นางรู้ว่าต้นโพธิ์มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
ถ้านางคิดที่จะหลอกโพธิ์ต้นนี้ นางจะต้องสำรวมการกระทำและพูดจาให้น้อยคำเข้าไว้
ตอนที่เขาพบนางเมื่อชาติที่แล้ว เขากับนางไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากเท่าใดนัก
ในเวลานั้น นางถูกส่งไปยังแดนปีศาจ และเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะช่วยนาง
แต่เขาไม่รู้เลยว่านางตกลงที่จะไปยังแดนปีศาจ ทั้งหมดก็เพื่อชายที่อยู่ที่นั่น
นางเกือบจะได้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาอยู่แล้วเชียว
ถ้าไม่ใช่เพราะมีใครบางคนโผล่เข้ามายุ่งกับแผนการของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงจะไม่ได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขาในเวลานี้!
แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาที่จดจำเรื่องราวในอดีตได้
แม้กระทั่งพลังวิญญาณของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังดูเหมือนจะหายไปจนไม่เหลืออีกด้วย
หึ ใครจะคิดล่ะว่าพระชายาที่มาเกิดใหม่พร้อมกับพระสารีริกธาตุจะถูกต้อนจนมุมได้ในเวลานี้
ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องกังวลอีกต่อไป เพราะอย่างไรสุสานหลวงก็ถูกทำลายไปแล้ว พระชายาที่กลับชาติมาเกิดใหม่พร้อมกับหงส์เพลิงแห่งธรรมะจะไม่มีวันได้ปรากฏตัวขึ้นบนโลกมนุษย์อีก
ตราบใดที่พระธรรมยังไม่ปรากฏขึ้น นางย่อมยังเป็นพระชายาอยู่เช่นเดิม
ส่วนเฮ่อเหลียนเวยเวย… หึ ต่อให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะอยู่ข้างๆ คอยปกป้องนางจากฝูงปีศาจ แต่นางก็ไม่สามารถป้องกันการรุกรานจากปราณแห่งความชั่วร้ายได้หากไม่มีพลังวิญญาณปกป้อง อย่างไรนางก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ตอนนี้ทุกอย่างที่หนีเฟิ่งต้องทำก็คือกลับไปที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ควบคุมผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งหมดที่เหลือ แล้วใช้กระจกวิเศษเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในร่างของตัวเอง แล้วจากนั้นนางจึงจะสามารถบิดเบือนภพภูมิแห่งการเกิดใหม่ทั้งหกเพื่อคืนชีพคนตาย และส่งคนเป็นไปสู่จุดจบของพวกเขาได้
ทันทีที่เส้นทางแห่งการเกิดใหม่ถูกทำลาย ไม่เพียงแค่นางจะได้นั่งอยู่ ณ จุดสูงสุดของแผ่นดินนี้ แต่นางยังสามารถใช้มันเพื่อผสานร่างเข้ากับพระชายาได้อีกด้วย หากใช้วิธีนี้ นางย่อมได้ในทุกสิ่งที่นางสมควรจะได้!
จิ่งอู๋ซวงไม่รู้ถึงเรื่องนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางเป็นคนเดียวที่รู้ถึงจุดประสงค์ในหัวใจของตัวเองอย่างแท้จริง
เหมือนดังที่ผู้เฒ่าจันทราเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อด้ายแดงถูกขึงแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นการขึงที่ผิดพลาดหรือไม่ แต่ด้ายเส้นนั้นก็จะยังคงอยู่ตลอดไป
นางจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นพระชายา และเป็นที่หนึ่งของคนคนนั้น!
เสียงจากใต้พื้นดินยังคงดังเบาๆ อย่างต่อเนื่องพร้อมกับฝุ่นที่ปรากฏขึ้นที่ไหล่เขา แม้พวกเขาจะอยู่ในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่ก็ยังรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ยุคสมัยกำลังจะเปลี่ยนไป!
กลุ่มอื่นๆ ที่ไปไม่ถึงทางเข้าสุสานในเวลาที่กำหนดกลับมาถึงจุดเริ่มต้นเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่พวกเขากำลังเงี่ยหูฟังเสียงเหล่านั้นอย่างตั้งใจอยู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหอบหายใจดังขึ้น เสียงนั้นฟังดูเหมือนตัวอะไรบางอย่างกำลังพยายามคลานออกมาจากใต้ดิน
ดวงตาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเต็มไปด้วยความกังวล ดังนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึงเด็กตัวเล็ก พวกเขากลัวจนรีบวิ่งเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของพวกผู้ใหญ่
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บรรดาผู้ตัดสินต่างจ้องมองธูปหอมที่อยู่บนพื้น ธูปไหม้หมดดอกไปแล้วทั้งที่มันควรจะถูกใช้เพื่อตัดสินว่าใครเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะในการแข่งนี้
กลุ่มไหนที่กลับมาได้ก่อนจะได้คะแนนเพิ่มขึ้น
แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ นอกจากกลุ่มที่ไปไม่ถึงทางเข้าสุสาน ก็ยังไม่เห็นคนที่สามารถเข้าไปในสุสานได้ปรากฏตัวขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
”เป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
”ไม่ต้องห่วง มีอาจารย์หนีกับพระชายาอยู่ ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นจริง ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด”
”แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ… เดี๋ยวก่อน! พวกเจ้าดูนั่นสิ!”
คนจำนวนหนึ่งชี้นิ้วไปยังกลุ่มหมอกสีดำที่แผ่ออกมาจากไหล่เขา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ”มีบางอย่างผิดปกติ! ปีศาจที่ถูกสะกดไว้ในสุสานหลุดออกมาหมดแล้ว! พวกมันหลุดออกมาแล้ว!”
”เป็นไปไม่ได้!” ในฐานะของผู้ตัดสินประจำตระกูล หนีซื่อย่อมไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อเขาหันกลับไปมอง น้ำเสียงของเขาก็สั่นสะท้าน ”เป็น… เป็นไปได้อย่างไร…”
ฮูหยินจูเก่อเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุดในจำนวนกลุ่มคนที่รออยู่ นางโอบแขนรอบเด็กตัวน้อยที่วิ่งเข้ามากอดนาง แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า ”ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้จะเป็นอะไร แต่เราก็ต้องคิดหาหนทางในการรับมือ เรายังสามารถหาวิธีตั้งรับได้ถ้าเริ่มวางแผนการรบกันตั้งแต่ตอนนี้ ให้เด็กๆ พวกนี้กลับเข้าเมืองไปก่อน”
”ฮูหยินจูเก่อพูดถูก” เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ฝูงชนเงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียง ภาพเดียวที่พวกเขาเห็นคือภาพของหนีเฟิ่งที่ลอยลงมาจากฟ้าทั้งที่ยังสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ ตามมาด้วยจิ่งอู๋ซวง
จิ่งอู๋ซวงยังคงสวมบทเป็นผู้ติดตามของนาง เขายืนเงียบๆ อยู่ข้างนางและพยายามไม่ให้ตกเป็นที่สนใจ
ทุกคนรู้สึกเหมือนได้เห็นผู้ช่วยชีวิตทันทีที่เห็นหนีเฟิ่ง พวกเขากรูกันเข้าไปหานางด้วยความตื่นเต้น ”คุณหนูหนี ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ทำไมท่านถึงมาคนเดียวล่ะขอรับ เกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ หรือ มันเกิดอะไรขึ้นที่สุสานหลวงกันแน่ขอรับ หมอกสีดำพวกนั้นคืออะไร”
”หมอกสีดำถูกปล่อยออกมาด้วยฝีมือผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองพวกนั้น” น้ำเสียงของหนีเฟิ่งแผ่วเบา นางยังไออยู่เล็กน้อย เสียงของนางฟังดูขมขื่นอย่างมาก ”ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนฉวยโอกาสจากการแข่งขันครั้งนี้ชิงพระสรีระไป ทุกอย่างไปได้ไม่ดีนักทันทีที่พวกเราเข้าไปในสุสาน มีคนของเราสองคนตายทันทีที่ประตูสุสานเปิดออก พวกเราพยายามหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่าในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมีผู้ใช้ปีศาจแฝงตัวอยู่ แต่มันก็สายเกินไป ปีศาจทุกตนที่ถูกผนึกไว้ในสุสานโบราณถูกปลดปล่อยแล้ว ผู้เฒ่าหลี่กับท่านพ่อของข้าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และถูกทิ้งไว้ในสุสาน เวลานี้สุสานถล่มลงมาแล้ว คงเหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่ปีศาจและวิญญาณร้ายจะหนีออกมาได้ พวกเราต้องรีบมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองเดี๋ยวนี้!”
หนีเฟิ่งพูดเช่นนั้นเผื่อว่าวันหนึ่งพวกของผู้เฒ่าหลี่จะรอดชีวิตกลับมาได้
เมื่อถึงเวลานั้น นางก็จะยังมีเหตุผลไม่ให้พวกเขาเข้ามาในเมือง
การถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงย่อมหมายความว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับความชั่วร้าย
แม้นางจะไม่มีเวลาฆ่าพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเปิดเผยความลับของนาง แต่อย่างไรก็คงไม่มีใครในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเชื่อคำพูดของพวกเขา!
มนุษย์มีความหวาดกลัวและเกลียดชังภูตผีวิญญาณเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ตรงกันข้ามกับยามเมื่อเผชิญหน้ากับเทพยดา พวกเขาจะเคารพตัวตนเหล่านั้นโดยไม่คิดตั้งคำถาม
สำหรับพวกเขาแล้ว ในเวลานี้นางคือพระชายากลับชาติมาเกิด ดังนั้นนางจึงเป็นเทพธิดาสำหรับพวกเขา!
เป็นอย่างที่คิด พวกเขาทำตามคำแนะนำของหนีเฟิ่งแล้วเริ่มเก็บข้าวของของตัวเองเพื่อเตรียมกลับเข้าเมืองทันที!
กลับกัน ฮูหยินจูเก่อกลับรู้สึกสับสน นางยกมือขึ้นกุมขมับ น้ำเสียงของนางแหบแห้งขณะเอ่ยถามว่า ”ผู้เฒ่าหลี่กับหนีเปียวถูกสิงทั้งคู่หรือ แล้วอาอวิ๋นล่ะ เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
”ท่านน้า ข้ารู้ว่าคงยากที่ท่านจะยอมรับเรื่องนี้ได้” หนีเฟิ่งเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง ดวงตาของนางแดงก่ำ ”ตอนที่ท่านพ่อของข้าถูกสิง ข้าเป็นคนสังหารเขาด้วยมือของข้าเอง ข้าเกือบจะเสียสติไปแล้วในเวลานั้น แต่ข้าจำต้องทำเพราะข้าติดค้างคำอธิบายกับคนอื่นๆ อยู่ ท่านน้า ข้าอาจไม่ควรบอกท่านเรื่องนี้ แต่เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกท่านว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับหนึ่งในคนของตระกูลจูเก่อเจ้าค่ะ นางแต่งกายเป็นชายแล้วแอบเข้ามาในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย เห็นได้ชัดว่านางจะต้องมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจอย่างแน่นอน ความจริงแล้วนางไม่ใช่ผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่เป็นผู้ใช้ปีศาจ คนที่ปล่อยปีศาจในสุสานออกมาก็คือนาง ส่วนน้องอวิ๋น เขายังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ข้าเกรงว่าเขาน่าจะถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่ ต่อให้วันหนึ่งเขาจะหาทางกลับมาได้ แต่นั่นก็จะไม่ใช่ตัวจริงของเขา”